ยาคือหนึ่งในปัจจัยสี่
เป็นสิ่งที่มนุษย์จำต้องแสวงหาเพื่อให้มีอยู่
ไม่ว่าสังคมมนุษย์ยุคหินจนถึงสังคมปัจจุบันยุควิทยาศาสตร์
ในปัจจุบันเราอาจซื้อหายาและเวชภัณฑ์ได้ตามร้านขายยา คลีนิดแพทย์
โรงพยาบาลต่างๆได้ตามโอกาส แต่ในสังคมโบราณบรรพกาลล่ะ
สมัยก่อนในประเทศต่างๆ
อาจมีการให้บริการสาธารณสุขโดยรัฐ ที่แตกต่างกันไป
แต่ส่วนใหญ่ประชาชนแล้วประชาชนจะช่วยตนเอง
โดยมีการรักษาโรคภัยความเจ็บป่วยแบบพื้นฐาน ชาวบ้าน วิธีการรักษาเป็นไปแบบง่ายๆ
ใช้วิชาการง่ายๆโดยการหาต้นหมากรากไม้ แร่ธาตุ อวัยวะสัตว์บางส่วนหรือทั้งหมด
สิ่งเหล่านี้เรียกว่า “สมุนไพร” นำมาปรุงยาด้วยวิธีง่ายๆ เช่น ต้ม ชง แช่หมักสุรา
บดเป็นผง ปั้นเป็นลูกกลอน หรือรับประทานสดๆ
แล้วแต่ตำรับตำราหรือคำบอกกล่าวของผู้รู้ผู้ชำนาญที่เราเรียกว่าหมอยา
แล้วผู้เขียนตำรับตำรา
แพทย์ผู้รักษาแพทย์ปรุงยาจะทราบได้อย่างไรว่าโรคหรืออาการป่วยของโรคลักษณะอย่างนั้นต้องจะต้องใช้ตัวยา
ชนิดใด อีกทั้งปริมาณ ส่วนผสม วิธีการปรุงยาอย่างไร
เริ่มแรกด้วยการที่มนุษย์เราได้เรียนรู้จากธรรมชาติ เช่นว่า สังเกตพฤติกรรมแมว
เมื่อเวลามันไปกินอาหารอะไรที่เป็นพิษ ทำให้ไม่สบาย
มันจะไปกินพืชล้มลุกชนิดหนึ่งที่ชื่อว่า “ตำแยแมว”กินแล้วมันจะสำรอกเอาอาหารนั้นออกมา
ทำให้สบายดีขึ้น
แผนวางปลิงเป็นวิธีการรักษาโรคปวดศีรษะเนื่องมาจากความดันโลหิตสูงของแพทย์ไทยแผนโบราณที่ถ่ายทอดรุ่นต่อรุ่นมานานแล้ว
โดยกำหนดวางปลิงดูดเลือดบนส่วนต่างๆของร่างกายคนเพื่อดูดเลือดออกจากร่างกายมาบ้างชช่วยลดความดันโลหิตระดับหนึ่ง
ทั้งนี้ก็ได้มาจากสังเกตุเห็นปลิงที่เกาะดูดเลือดควาย
นี่ก็เป็นตัวอย่างสังเกตจากธรรมชาติ เรียนรู้และนำมาดัดแปลงประยุกต์ใช้กับคน นอกจากนี้ก็มีทดลองด้วยตัวเอง
มนุษย์ทดลองชิมตัวยาดูแล้วมีผลอย่างไรกับร่างกายก็จดจำ บันทึกบอกต่อ
เช่นเมื่อมีรสเปรี้ยวสามารถเรียกน้ำลายให้สอออกมา แกปากคอแห้งได้
หากเป็นรสหวานรับประทานแล้วมีกำลัง ชุ่มชื่น รสขมทำให้เจริญอาหารลดไข้ ฯลฯ อย่างไรก็ตามยังไม่มีผู้ใดจะให้หลักการการแสวงหายารักษาโรคและอาการของโรคนั้นๆที่เป็นเรื่องเป็นราวมีหลักการ
ในศตวรรษที่ ๑๘
มีนักปราชญ์ชาวอังกฤษชื่อ รีเวอร์ เอ็ดวาร์ด สโตน ท่านผู้นี้เป็นทั้งพระและเภสัชกร
ได้ให้กฎการแสวงหายา โดยกล่าวว่า “
พระเจ้าได้วางการรักษาโรคไว้ใกล้กับเหตุที่เกิดโรค ” หมายความว่า
หากจะหายามารักษาโรคใดๆ
ให้หาได้จากบริเวณหรือแหล่งที่ใกล้ๆกับที่เกิดโรคนั้น เขายกตัวอย่างว่า ถ้าจะรักษาไข้มาลาเรีย
ที่แพร่โดยยุงนำเชื้อโรคมากัดคน ที่มักจะเกิดชุกชุมในบริเวณป่าดิบชื้นแฉะ
ที่มีแหล่งน้ำนิ่ง ก็ให้หายาแก้จากต้นไม้ที่ขึ้นบริเวณป่าชื้นนั้น สโตนได้พิสูจน์กฎของเขา
ด้วยการรักษาผู้ป่วยที่มีไข้สูง จำนวน ๕๐ คนด้วยยาต้มของเปลือกต้นสนุน
สนุ่นเป็นต้นไม้ยืนต้นขนาดเล็กเปลือกลำต้นมีสารซาลิซิน(salicin) มีฤทธิ์แก้ปวดลดไข้ทั่วๆไป
นักวิทยาศาสตร์ศึกษาสูตรโครงสร้างของมันต่อมาสามารถสังเคาระห์ยาแอสไพริน เปลือกต้นสนุนนี้มีรสขมเหมือนเปลือกต้นควินิน
ซึ่งขณะนั้นจนถึงปัจจุบันใช้เป็นยารักษาไข้มาลาเรีย
แต่แท้ที่จริงแล้วเปลือกต้นสนุ่นไม่สามารถรักษาโรคมาลาเรีย อย่างไรก็ตามกฏของสโตนก็มีความจริงอยู่บ้าง
ปัจจุบันเราพบวิธีป้องกันรักษาโรคบาดทะยักจากการฉีดวัคซีนที่ได้จากการเตรียมเชื้อจากมูลม้าที่เชื้อบาดทะยักนั้นชอบเจริญเติบโตอยู่
(ตำรายาพื้นบ้านของไทยให้ใช้พืชชนิดหนึ่งที่ชื่อว่า"ผักบุ้งทะเล"
มันชอบขึ้นอยู่ริมทะเลรักษาพิษของแมงกะพรุนไฟที่รบกวนคนเล่นน้ำตามชายหาด)
เมื่อกฎของสโตนใช้ไม่ได้ แพทย์ เภสัชกร
ผู้แสวงหายา จะใช้อะไรเป็นหลักเกณฑ์ในการแสวงหายา
น่าสังเกตว่าความเห็นของสโตนเป็นสมมุติฐานที่ผิดแต่ก็ได้ผลบ้างเมื่อนำมาปฏิบัติ
เหตุนี้เองที่ที่ทำให้กฏของสโตนมีส่วนคล้ายกับทฤษฏีหนึ่งในสองทฤษฎีพื้นฐานในการแสวงหายามาใช้ในปัจจุบัน
คือทฤษฎีที่เรียกว่า “เหตุและผล”หรือ “สิ่งที่เป็นไปได้โดยผล” ทฤษฎีนี้กล่าวว่า
ถ้าเราต้องการให้ร่างกายแสดงปฏิกิริยาอย่างไร ก็ไปค้นหายา(สิ่ง)ที่ออกฤทธิ์ต่อร่างกายที่ทำให้เกิดปฎิกิริยานั้น
ยกตัวอย่างเช่น ต้องการลดไข้ความร้อนจากร่างกาย ก็ต้องทำให้ให้ร่างกายขับเหงื่อออกมาเมื่อรับประทานมันเข้าไป
สำหรับทฤษฎีนี้ทำให้เกิดการแสวงหาที่รวดเร็ว ประหยัด แต่ก็เป็นไปด้วยควารมยากลำบาก
เพราะเราจำเป็นต้องมีความรู้เกี่ยวกับการทำงานของร่างกายในเชิงปฏิกิริยาเคมีของสสารต่างๆที่มีอยู่ในร่างกายเพื่อว่าจะหายาที่ทำให้เกิดขบวนการเปลื่ยนแปลงเพื่อให้ได้ผลตามต้องการ
อีกทฤษฎีหนึ่ง ที่ถูกใช้เป็นแนวทางปฏิบัติในการแสวงหายาในวงการแพทย์เภสัช
ทฤษฎีนี้คือ “
เฝ้าสังเกตุและทดลอง” ตามวิธีการนี้
เภสัชกรและแพทย์จะต้องเก็บข้อมูลต่างๆแล้วนำมาคัดกรองด้วยเหตุผลประสบการณ์
หลังจากนั้นก็ต้องทดลองพิสูจน์ให้เห็นว่าเป็นจริงหรือไม่ พวกเขาทั้งหลายได้เรียนรู้ถึงขบวนการต่างๆของร่างกาย
เพื่อที่จะหายาที่จะเสริมหรือต่อต้านหรือเปลื่ยนแปลงปฏิกิริยาขบวนการเพื่อการดำเนินชีวิตของร่างกาย
พวกเขาจะต้องเข้าป่า ออกทะเลเพื่อค้นหาพืช สิ่งมีชีวิต ซากดิน
หรือสังเกตุการรักษาโรคของพ่อมดหมอผี หมอกลางบ้านที่อาจจะเป็นประโยชน์
แล้วมาทดสอบถึงการออกฤทธิ์โยทดสอบกับสัตว์ทดลองหรือมนุษย์ว่าได้ผลเช่นไร
พยายามแยกสารเฉพาะที่คิดว่าออกฤทธิ์ในการรักษาออกมาเพื่อนำมาใช้ เท่านั้นยังไม่พอ
เราอาจพยายามสังเคราะห์เลียนแบบมันขึ้นมาใช้เองและก็อาจดัดแปลงสูตรโครงสร้างสสารพัฒนาให้มีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น
วิธีนี้จะต้องสูญเงินมาก ต้องใช้วัตถุมากมายเพื่อมาทำการทดลอง อย่างเช่นมี ต้นไม้
ดิน แร่ ถึงหนึ่งพันชนิดถูกนำมาทดลองเพื่อหาประสิทธิภาพในการทำลายเชื้อวัณโรค
เสียเวลาไปถึง ๕ปี เราจึงได้ยา สเต็ปโตมัยซิน(Streptomycin) อีกตัวอย่างหนึ่ง อาการ หอบหืด เกิดเนื่องจากหลอดลมหดตัว
สมุนไพรต่างๆจำนวนมากได้ถูกนำมาทดสอบฤทธิ์การขยายหลอดลม
มีเพียงพืชชนิดเดี่ยวที่ให้ผลเป็นที่น่าพอใจ คือพืชที่มีชื่อจีนว่า
“มั่วอึ้ง”
นักเภสัชศาสตร์จีนสัญชาติอเมริกันชื่อ เค เค เชน
สามารถแยกสารออกฤทธิ์และสังเคราะห์เองได้ สารนั้นคือ อีเฟดรีน
และอนุพันธ์ของอีเฟดรีนถูกนำมาใช้ในวงการแพทย์ปัจจุบัน
และเมื่อความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยีมีมากขึ้น
การศึกษาถึงขบวนการเพื่อดำเนินชีวิตของร่างกายมนุษย์ได้ทราบอย่างละเอียดและลึกซึ้งทำให้การแสวงหายาด้วยวิธีนี้เป็นที่นิยมและถือปฎิบัติมากที่สุด
การค้นหายารักษาโรคชนิดใหม่ๆ
ได้ถูกวางแนวทางการค้นคว้าไว้ ๔ แหล่งคือ
๑
จากการสังเกตุศึกษาการรักษาแบบพื้นบ้าน ภูมิปัญญาชาวบ้าน
๒ ค้นหาตรงไปที่สารออกฤทธิ์ต่างๆที่มีอยู่ในต้นไม้๓ ค้นหาตรงไปที่สารออกฤทธิ์ต่างๆที่มีอยู่ในสัตว์
๔ ค้นหาตรงไปที่สารออกฤทธิ์ต่างๆที่มีมนุษย์สังเคราะห์ขึ้นมาเอง
อย่างไรก็ตาม
สำหรับการศึกษาสังเกตุการรักษาแบบพื้นบ้านแม้นจะต้องสิ้นเปลือง
บางครั้งไม่ประสบความสำเร็จและกลับเป็นโทษด้วยแต่บางครั้งก็มีส่วนของความจริง
นับว่าคุ้มค่าหากได้พบยารักษาทีมีประสิทธิภาพ
ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เกิดแหล่งแสวงหายาอื่นๆ เป็นหลักการแสวงหายาในปัจจุบัน
แปลเรียบเรียงจากThe Drug Hunters หนังสือ LIFE SCIENCE LIBRARY DRUGS
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น