จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันพุธที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

หลักการแสวงหายามาใช้







ยาคือหนึ่งในปัจจัยสี่ เป็นสิ่งที่มนุษย์จำต้องแสวงหาเพื่อให้มีอยู่ ไม่ว่าสังคมมนุษย์ยุคหินจนถึงสังคมปัจจุบันยุควิทยาศาสตร์  ในปัจจุบันเราอาจซื้อหายาและเวชภัณฑ์ได้ตามร้านขายยา คลีนิดแพทย์ โรงพยาบาลต่างๆได้ตามโอกาส แต่ในสังคมโบราณบรรพกาลล่ะ

                    สมัยก่อนในประเทศต่างๆ อาจมีการให้บริการสาธารณสุขโดยรัฐ ที่แตกต่างกันไป แต่ส่วนใหญ่ประชาชนแล้วประชาชนจะช่วยตนเอง โดยมีการรักษาโรคภัยความเจ็บป่วยแบบพื้นฐาน ชาวบ้าน วิธีการรักษาเป็นไปแบบง่ายๆ ใช้วิชาการง่ายๆโดยการหาต้นหมากรากไม้ แร่ธาตุ อวัยวะสัตว์บางส่วนหรือทั้งหมด สิ่งเหล่านี้เรียกว่า “สมุนไพร” นำมาปรุงยาด้วยวิธีง่ายๆ เช่น ต้ม ชง แช่หมักสุรา บดเป็นผง ปั้นเป็นลูกกลอน หรือรับประทานสดๆ แล้วแต่ตำรับตำราหรือคำบอกกล่าวของผู้รู้ผู้ชำนาญที่เราเรียกว่าหมอยา

                แล้วผู้เขียนตำรับตำรา แพทย์ผู้รักษาแพทย์ปรุงยาจะทราบได้อย่างไรว่าโรคหรืออาการป่วยของโรคลักษณะอย่างนั้นต้องจะต้องใช้ตัวยา ชนิดใด อีกทั้งปริมาณ ส่วนผสม วิธีการปรุงยาอย่างไร

              เริ่มแรกด้วยการที่มนุษย์เราได้เรียนรู้จากธรรมชาติ เช่นว่า สังเกตพฤติกรรมแมว เมื่อเวลามันไปกินอาหารอะไรที่เป็นพิษ ทำให้ไม่สบาย มันจะไปกินพืชล้มลุกชนิดหนึ่งที่ชื่อว่า “ตำแยแมว”กินแล้วมันจะสำรอกเอาอาหารนั้นออกมา ทำให้สบายดีขึ้น   แผนวางปลิงเป็นวิธีการรักษาโรคปวดศีรษะเนื่องมาจากความดันโลหิตสูงของแพทย์ไทยแผนโบราณที่ถ่ายทอดรุ่นต่อรุ่นมานานแล้ว โดยกำหนดวางปลิงดูดเลือดบนส่วนต่างๆของร่างกายคนเพื่อดูดเลือดออกจากร่างกายมาบ้างชช่วยลดความดันโลหิตระดับหนึ่ง  ทั้งนี้ก็ได้มาจากสังเกตุเห็นปลิงที่เกาะดูดเลือดควาย นี่ก็เป็นตัวอย่างสังเกตจากธรรมชาติ เรียนรู้และนำมาดัดแปลงประยุกต์ใช้กับคน     นอกจากนี้ก็มีทดลองด้วยตัวเอง มนุษย์ทดลองชิมตัวยาดูแล้วมีผลอย่างไรกับร่างกายก็จดจำ บันทึกบอกต่อ เช่นเมื่อมีรสเปรี้ยวสามารถเรียกน้ำลายให้สอออกมา แกปากคอแห้งได้ หากเป็นรสหวานรับประทานแล้วมีกำลัง ชุ่มชื่น รสขมทำให้เจริญอาหารลดไข้ ฯลฯ  อย่างไรก็ตามยังไม่มีผู้ใดจะให้หลักการการแสวงหายารักษาโรคและอาการของโรคนั้นๆที่เป็นเรื่องเป็นราวมีหลักการ

              ในศตวรรษที่ ๑๘ มีนักปราชญ์ชาวอังกฤษชื่อ รีเวอร์ เอ็ดวาร์ด สโตน ท่านผู้นี้เป็นทั้งพระและเภสัชกร ได้ให้กฎการแสวงหายา โดยกล่าวว่า  “ พระเจ้าได้วางการรักษาโรคไว้ใกล้กับเหตุที่เกิดโรค  ” หมายความว่า  หากจะหายามารักษาโรคใดๆ ให้หาได้จากบริเวณหรือแหล่งที่ใกล้ๆกับที่เกิดโรคนั้น  เขายกตัวอย่างว่า  ถ้าจะรักษาไข้มาลาเรีย ที่แพร่โดยยุงนำเชื้อโรคมากัดคน ที่มักจะเกิดชุกชุมในบริเวณป่าดิบชื้นแฉะ ที่มีแหล่งน้ำนิ่ง ก็ให้หายาแก้จากต้นไม้ที่ขึ้นบริเวณป่าชื้นนั้น  สโตนได้พิสูจน์กฎของเขา ด้วยการรักษาผู้ป่วยที่มีไข้สูง จำนวน ๕๐ คนด้วยยาต้มของเปลือกต้นสนุน สนุ่นเป็นต้นไม้ยืนต้นขนาดเล็กเปลือกลำต้นมีสารซาลิซิน(salicin) มีฤทธิ์แก้ปวดลดไข้ทั่วๆไป นักวิทยาศาสตร์ศึกษาสูตรโครงสร้างของมันต่อมาสามารถสังเคาระห์ยาแอสไพริน  เปลือกต้นสนุนนี้มีรสขมเหมือนเปลือกต้นควินิน ซึ่งขณะนั้นจนถึงปัจจุบันใช้เป็นยารักษาไข้มาลาเรีย แต่แท้ที่จริงแล้วเปลือกต้นสนุ่นไม่สามารถรักษาโรคมาลาเรีย  อย่างไรก็ตามกฏของสโตนก็มีความจริงอยู่บ้าง ปัจจุบันเราพบวิธีป้องกันรักษาโรคบาดทะยักจากการฉีดวัคซีนที่ได้จากการเตรียมเชื้อจากมูลม้าที่เชื้อบาดทะยักนั้นชอบเจริญเติบโตอยู่ (ตำรายาพื้นบ้านของไทยให้ใช้พืชชนิดหนึ่งที่ชื่อว่า"ผักบุ้งทะเล" มันชอบขึ้นอยู่ริมทะเลรักษาพิษของแมงกะพรุนไฟที่รบกวนคนเล่นน้ำตามชายหาด)


         เมื่อกฎของสโตนใช้ไม่ได้ แพทย์ เภสัชกร ผู้แสวงหายา จะใช้อะไรเป็นหลักเกณฑ์ในการแสวงหายา
         น่าสังเกตว่าความเห็นของสโตนเป็นสมมุติฐานที่ผิดแต่ก็ได้ผลบ้างเมื่อนำมาปฏิบัติ เหตุนี้เองที่ที่ทำให้กฏของสโตนมีส่วนคล้ายกับทฤษฏีหนึ่งในสองทฤษฎีพื้นฐานในการแสวงหายามาใช้ในปัจจุบัน คือทฤษฎีที่เรียกว่า “เหตุและผล”หรือ “สิ่งที่เป็นไปได้โดยผล”  ทฤษฎีนี้กล่าวว่า ถ้าเราต้องการให้ร่างกายแสดงปฏิกิริยาอย่างไร ก็ไปค้นหายา(สิ่ง)ที่ออกฤทธิ์ต่อร่างกายที่ทำให้เกิดปฎิกิริยานั้น ยกตัวอย่างเช่น ต้องการลดไข้ความร้อนจากร่างกาย ก็ต้องทำให้ให้ร่างกายขับเหงื่อออกมาเมื่อรับประทานมันเข้าไป สำหรับทฤษฎีนี้ทำให้เกิดการแสวงหาที่รวดเร็ว ประหยัด แต่ก็เป็นไปด้วยควารมยากลำบาก เพราะเราจำเป็นต้องมีความรู้เกี่ยวกับการทำงานของร่างกายในเชิงปฏิกิริยาเคมีของสสารต่างๆที่มีอยู่ในร่างกายเพื่อว่าจะหายาที่ทำให้เกิดขบวนการเปลื่ยนแปลงเพื่อให้ได้ผลตามต้องการ
         อีกทฤษฎีหนึ่ง ที่ถูกใช้เป็นแนวทางปฏิบัติในการแสวงหายาในวงการแพทย์เภสัช ทฤษฎีนี้คือ          “ เฝ้าสังเกตุและทดลอง” ตามวิธีการนี้ เภสัชกรและแพทย์จะต้องเก็บข้อมูลต่างๆแล้วนำมาคัดกรองด้วยเหตุผลประสบการณ์ หลังจากนั้นก็ต้องทดลองพิสูจน์ให้เห็นว่าเป็นจริงหรือไม่ พวกเขาทั้งหลายได้เรียนรู้ถึงขบวนการต่างๆของร่างกาย เพื่อที่จะหายาที่จะเสริมหรือต่อต้านหรือเปลื่ยนแปลงปฏิกิริยาขบวนการเพื่อการดำเนินชีวิตของร่างกาย พวกเขาจะต้องเข้าป่า ออกทะเลเพื่อค้นหาพืช สิ่งมีชีวิต ซากดิน หรือสังเกตุการรักษาโรคของพ่อมดหมอผี หมอกลางบ้านที่อาจจะเป็นประโยชน์ แล้วมาทดสอบถึงการออกฤทธิ์โยทดสอบกับสัตว์ทดลองหรือมนุษย์ว่าได้ผลเช่นไร พยายามแยกสารเฉพาะที่คิดว่าออกฤทธิ์ในการรักษาออกมาเพื่อนำมาใช้ เท่านั้นยังไม่พอ เราอาจพยายามสังเคราะห์เลียนแบบมันขึ้นมาใช้เองและก็อาจดัดแปลงสูตรโครงสร้างสสารพัฒนาให้มีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น วิธีนี้จะต้องสูญเงินมาก ต้องใช้วัตถุมากมายเพื่อมาทำการทดลอง อย่างเช่นมี ต้นไม้ ดิน แร่ ถึงหนึ่งพันชนิดถูกนำมาทดลองเพื่อหาประสิทธิภาพในการทำลายเชื้อวัณโรค เสียเวลาไปถึง ๕ปี เราจึงได้ยา สเต็ปโตมัยซิน(Streptomycin) อีกตัวอย่างหนึ่ง   อาการ หอบหืด เกิดเนื่องจากหลอดลมหดตัว สมุนไพรต่างๆจำนวนมากได้ถูกนำมาทดสอบฤทธิ์การขยายหลอดลม มีเพียงพืชชนิดเดี่ยวที่ให้ผลเป็นที่น่าพอใจ คือพืชที่มีชื่อจีนว่า “มั่วอึ้ง”  นักเภสัชศาสตร์จีนสัญชาติอเมริกันชื่อ เค เค เชน สามารถแยกสารออกฤทธิ์และสังเคราะห์เองได้ สารนั้นคือ อีเฟดรีน และอนุพันธ์ของอีเฟดรีนถูกนำมาใช้ในวงการแพทย์ปัจจุบัน และเมื่อความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยีมีมากขึ้น การศึกษาถึงขบวนการเพื่อดำเนินชีวิตของร่างกายมนุษย์ได้ทราบอย่างละเอียดและลึกซึ้งทำให้การแสวงหายาด้วยวิธีนี้เป็นที่นิยมและถือปฎิบัติมากที่สุด
        การค้นหายารักษาโรคชนิดใหม่ๆ ได้ถูกวางแนวทางการค้นคว้าไว้ ๔ แหล่งคือ
      ๑  จากการสังเกตุศึกษาการรักษาแบบพื้นบ้าน ภูมิปัญญาชาวบ้าน 
 ๒ ค้นหาตรงไปที่สารออกฤทธิ์ต่างๆที่มีอยู่ในต้นไม้
  ๓ ค้นหาตรงไปที่สารออกฤทธิ์ต่างๆที่มีอยู่ในสัตว์ 
 ๔ ค้นหาตรงไปที่สารออกฤทธิ์ต่างๆที่มีมนุษย์สังเคราะห์ขึ้นมาเอง

อย่างไรก็ตาม สำหรับการศึกษาสังเกตุการรักษาแบบพื้นบ้านแม้นจะต้องสิ้นเปลือง บางครั้งไม่ประสบความสำเร็จและกลับเป็นโทษด้วยแต่บางครั้งก็มีส่วนของความจริง นับว่าคุ้มค่าหากได้พบยารักษาทีมีประสิทธิภาพ ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เกิดแหล่งแสวงหายาอื่นๆ เป็นหลักการแสวงหายาในปัจจุบัน

แปลเรียบเรียงจากThe Drug Hunters หนังสือ LIFE SCIENCE LIBRARY DRUGS
 

ไม่มีความคิดเห็น: