จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันอังคารที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2557

Bipolarในผู้สูงอายุ

ภาวะอารมณ์แปรปรวน Bipolarในผู้สูงอายุ



                   คนส่วนใหญ่กังวลว่าเมื่อตนมีอายุสูงขึ้นร่างกายจะเสื่อมถอยเกิดความผิดปกติเรื้อรัง มีคนส่วนน้อยที่คิดว่าจะเกิดความผิดปกติทางสุขภาพจิตค่อยๆพัฒนาขึ้นมา อย่างเช่น  ความเครียด  ความเสื่อมทางสุขภาพจิตสามารถบันทอนความสามารถการดำเนินชีวิตประจำวันของผู้สูงอายุ ผู้เชี่ยวชาญหลายท่านชี้ระบุความผิดปกติทางกายก่อให้เกิดความผิดทางสุขภาพจิตและความผิดปกติทางจิตก็ก่อเกิดความผิดปกติทางร่างกายด้วย       ความซึมเศร้า ความวิตกกังวล และ โรคจิต ( psychosis) เป็นกลุ่มอาการความผิดปกติทางสุขภาพจิตส่วนใหญ่ ที่เกิดกับผู้สูงอายุ ซึ่งในแต่ละกลุ่ม จะมีอาการที่แตกแยกละเอียดลงไปอีกโดยจะมีชื่อศัพท์การแพทย์เรียกขานบัญญัติไว้  ในที่นี้จะขอนำมากล่าวในเรื่อง ภาวะอารมณ์แปรปรวน Bipolar ซึ่งอยู่ในกลุ่มของกลุ่มอาการซึมเศร้าอย่างสังเขป
                ภาวะอารมณ์แปรปรวน Bipolar บางครั้งเรียกว่า manic depression  มันเป็นอารมณ์ที่ไม่ใช่เกิดแค่ ความซึมเศร้าเท่านั้นหากจะเกิดอาการคลั่งผสมครื้นเครงดีอกดีใจนิดหน่อยสลับหรือแฝงออกมาในเวลาเดียวกันซึงไม่เหมือนกับในช่วงชีวิตหนุ่มสาวที่อารมณ์ครื้นเครงจะเกิดถี่มากกว่าอารมณ์ซึมเศร้า          
สาเหตุ
              ปัจจุบันเชื่อว่าเกิดจากปัจจัยด้านชีวภาพ ซึ่งพบเกี่ยวข้องกับปัจจัยด้านพันธุกรรมค่อนข้างสูง และเกี่ยวข้องกับสารเคมีในสมอง เกี่ยวกับสารสื่อนำประสาทในสมองหลายตัว โดยพบว่าในระยะที่มีอารมณ์เศร้า มีสารสารสื่อนำประสาทนอร์อิพิเนฟริน (norepinephrine) และซีโรโทนิน (serotonin) ลดลง และในระยะอารมณ์คลั่งมีนอร์อิพิเนฟรินสูง
การดำเนินโรค
ผู้ป่วยชายส่วนใหญ่จะมีอาการครั้งแรกเป็นภาวะอารมณ์คลั่ง ส่วนผู้ป่วยหญิงจะมีอาการครั้งแรกเป็นแบบภาวะอารมณ์เศร้า ระยะเวลาที่เป็น หากไม่ได้รักษาโดยเฉลี่ยนาน 4 เดือน ผู้ป่วยที่มาด้วยภาวะอารมณ์คลั่ง พบว่ามีโอกาสที่จะเป็นอีกมากกว่าร้อยละ 90 และโรคนี้มีโอกาสเกิดซ้ำของโรค สูงกว่าพวกที่มาด้วยภาวะอารมณ์เศร้า 
การรักษา
               การรักษาผู้สูงวัยที่ซึมเศร้าส่วนใหญ่จะให้ยา การรักษาอย่างอื่นได้แก่ การให้คำปรึกษาพูดคุย  การรักษาด้วยกระแสไฟฟ้า,ด้วยแสง,และการออกกำลังกาย  สำหรับในรายที่อาการรุนแรง เช่น ก้าวร้าว ทำลายข้าวของ มีอาการโรคจิต หรือไม่พักผ่อน รบกวนคนในครอบครัวหรือผู้อื่น ญาติควบคุมพฤติกรรมไม่ได้ เป็นต้นให้รับไว้รักษาในโรงพยาบาล
              ยาหลักในการรักษา ได้แก่ ลิเทียม (lithium) ให้ขนาด 600-9000 มก./วัน โดยให้ระดับยาในเลือดอยู่ระหว่าง 0.8-1.4 mEq/ลิตร ในรายที่มีอาการมากในช่วงแรกจำเป็นต้องให้ยารักษาโรคจิต หรือยาในกลุ่มเบนโซไดอะซีปีน(Benzodiazepine)ในขนาดสูงร่วมไปด้วย เพื่อควบคุมพฤติกรรม ลดอาการวุ่นวาย ก้าวร้าว เมื่ออาการด้านอารมณ์ลดลงจึงค่อยๆ ลดยารักษาโรคจิตลงจนหยุด ผู้ป่วยอารมณ์คลั่งที่มีอาการโรคจิตร่วมด้วยนั้นต้องให้การรักษาด้วยยารักษาโรคจิต และลดยาลงเมื่อหายอาการเช่นกัน
ในรายที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยลิเทียม หลังจากให้ยาในขนาดที่เหมาะสมไปนาน 4 สัปดาห์ หรือในผู้ป่วยที่เป็น rapid cycling อาจให้การรักษาด้วย carbamazepine หรือ sodium valproate หลังจากผู้ป่วยอาการกลับสู่ปกติแล้ว ให้ลิเทียมต่อไปอีก 3-4 เดือน แล้วลดยาลงจนหยุด ในผู้ป่วยที่มีประวัติเคยเป็นมาแล้ว 2 ครั้งขึ้นไป ควรให้การรักษาแบบดูแลต่อเนื่อง เพื่อป้องกันการเกิดโรคซ้ำ โดยมีระยะเวลาที่ให้ควรนานอย่างน้อย 2 ปีขึ้นไป   ขณะให้ยารักษาเพื่อดูแลต่อเนื่องเพื่อป้องกันการเกิดซ้ำ หากผู้ป่วยที่กลับมามีอาการ อารมณ์คลั่งให้เพิ่มขนาดลิเทียม หรือให้ยารักษาโรคจิตร่วม หากมีอาการซึมเศร้าให้เพิ่มขนาดลิเทียม ร่วมกับทำจิตบำบัด ถ้ายังไม่ดีขึ้นอาจให้ยาแก้เศร้า แต่ไม่ควรให้นาน เนื่องจากอาจไปกระตุ้นให้โรคเกิดกำเริบบ่อยขึ้นได้

เอกสารอ้างอิง       ๑ เว็ปไซด์ด้านสุขภาพจิตและจิตเวช กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณะสุข    http://www.dmh.go.th/news/view.asp?id=943 บทความ

                        The Merck  Manual of Health & Aging 

ไม่มีความคิดเห็น: