ภาวะอารมณ์แปรปรวน Bipolarในผู้สูงอายุ
คนส่วนใหญ่กังวลว่าเมื่อตนมีอายุสูงขึ้นร่างกายจะเสื่อมถอยเกิดความผิดปกติเรื้อรัง
มีคนส่วนน้อยที่คิดว่าจะเกิดความผิดปกติทางสุขภาพจิตค่อยๆพัฒนาขึ้นมา
อย่างเช่น ความเครียด ความเสื่อมทางสุขภาพจิตสามารถบันทอนความสามารถการดำเนินชีวิตประจำวันของผู้สูงอายุ
ผู้เชี่ยวชาญหลายท่านชี้ระบุความผิดปกติทางกายก่อให้เกิดความผิดทางสุขภาพจิตและความผิดปกติทางจิตก็ก่อเกิดความผิดปกติทางร่างกายด้วย
ความซึมเศร้า ความวิตกกังวล และ โรคจิต ( psychosis) เป็นกลุ่มอาการความผิดปกติทางสุขภาพจิตส่วนใหญ่
ที่เกิดกับผู้สูงอายุ ซึ่งในแต่ละกลุ่ม จะมีอาการที่แตกแยกละเอียดลงไปอีกโดยจะมีชื่อศัพท์การแพทย์เรียกขานบัญญัติไว้ ในที่นี้จะขอนำมากล่าวในเรื่อง ภาวะอารมณ์แปรปรวน Bipolar ซึ่งอยู่ในกลุ่มของกลุ่มอาการซึมเศร้าอย่างสังเขป
ภาวะอารมณ์แปรปรวน Bipolar
บางครั้งเรียกว่า manic depression มันเป็นอารมณ์ที่ไม่ใช่เกิดแค่
ความซึมเศร้าเท่านั้นหากจะเกิดอาการคลั่งผสมครื้นเครงดีอกดีใจนิดหน่อยสลับหรือแฝงออกมาในเวลาเดียวกันซึงไม่เหมือนกับในช่วงชีวิตหนุ่มสาวที่อารมณ์ครื้นเครงจะเกิดถี่มากกว่าอารมณ์ซึมเศร้า
สาเหตุ
ปัจจุบันเชื่อว่าเกิดจากปัจจัยด้านชีวภาพ
ซึ่งพบเกี่ยวข้องกับปัจจัยด้านพันธุกรรมค่อนข้างสูง และเกี่ยวข้องกับสารเคมีในสมอง
เกี่ยวกับสารสื่อนำประสาทในสมองหลายตัว โดยพบว่าในระยะที่มีอารมณ์เศร้า
มีสารสารสื่อนำประสาทนอร์อิพิเนฟริน (norepinephrine) และซีโรโทนิน (serotonin) ลดลง
และในระยะอารมณ์คลั่งมีนอร์อิพิเนฟรินสูง
การดำเนินโรค
ผู้ป่วยชายส่วนใหญ่จะมีอาการครั้งแรกเป็นภาวะอารมณ์คลั่ง
ส่วนผู้ป่วยหญิงจะมีอาการครั้งแรกเป็นแบบภาวะอารมณ์เศร้า ระยะเวลาที่เป็น
หากไม่ได้รักษาโดยเฉลี่ยนาน 4 เดือน ผู้ป่วยที่มาด้วยภาวะอารมณ์คลั่ง
พบว่ามีโอกาสที่จะเป็นอีกมากกว่าร้อยละ 90 และโรคนี้มีโอกาสเกิดซ้ำของโรค
สูงกว่าพวกที่มาด้วยภาวะอารมณ์เศร้า
การรักษา
การรักษาผู้สูงวัยที่ซึมเศร้าส่วนใหญ่จะให้ยา
การรักษาอย่างอื่นได้แก่ การให้คำปรึกษาพูดคุย การรักษาด้วยกระแสไฟฟ้า,ด้วยแสง,และการออกกำลังกาย
สำหรับในรายที่อาการรุนแรง เช่น
ก้าวร้าว ทำลายข้าวของ มีอาการโรคจิต หรือไม่พักผ่อน รบกวนคนในครอบครัวหรือผู้อื่น
ญาติควบคุมพฤติกรรมไม่ได้ เป็นต้นให้รับไว้รักษาในโรงพยาบาล
ยาหลักในการรักษา ได้แก่ ลิเทียม (lithium)
ให้ขนาด 600-9000 มก./วัน โดยให้ระดับยาในเลือดอยู่ระหว่าง 0.8-1.4
mEq/ลิตร ในรายที่มีอาการมากในช่วงแรกจำเป็นต้องให้ยารักษาโรคจิต
หรือยาในกลุ่มเบนโซไดอะซีปีน(Benzodiazepine)ในขนาดสูงร่วมไปด้วย
เพื่อควบคุมพฤติกรรม ลดอาการวุ่นวาย ก้าวร้าว เมื่ออาการด้านอารมณ์ลดลงจึงค่อยๆ
ลดยารักษาโรคจิตลงจนหยุด
ผู้ป่วยอารมณ์คลั่งที่มีอาการโรคจิตร่วมด้วยนั้นต้องให้การรักษาด้วยยารักษาโรคจิต
และลดยาลงเมื่อหายอาการเช่นกัน
ในรายที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยลิเทียม
หลังจากให้ยาในขนาดที่เหมาะสมไปนาน 4 สัปดาห์ หรือในผู้ป่วยที่เป็น rapid
cycling อาจให้การรักษาด้วย carbamazepine หรือ
sodium valproate หลังจากผู้ป่วยอาการกลับสู่ปกติแล้ว
ให้ลิเทียมต่อไปอีก 3-4 เดือน แล้วลดยาลงจนหยุด
ในผู้ป่วยที่มีประวัติเคยเป็นมาแล้ว 2 ครั้งขึ้นไป ควรให้การรักษาแบบดูแลต่อเนื่อง
เพื่อป้องกันการเกิดโรคซ้ำ โดยมีระยะเวลาที่ให้ควรนานอย่างน้อย 2 ปีขึ้นไป ขณะให้ยารักษาเพื่อดูแลต่อเนื่องเพื่อป้องกันการเกิดซ้ำ
หากผู้ป่วยที่กลับมามีอาการ อารมณ์คลั่งให้เพิ่มขนาดลิเทียม
หรือให้ยารักษาโรคจิตร่วม หากมีอาการซึมเศร้าให้เพิ่มขนาดลิเทียม
ร่วมกับทำจิตบำบัด ถ้ายังไม่ดีขึ้นอาจให้ยาแก้เศร้า แต่ไม่ควรให้นาน
เนื่องจากอาจไปกระตุ้นให้โรคเกิดกำเริบบ่อยขึ้นได้
เอกสารอ้างอิง ๑ เว็ปไซด์ด้านสุขภาพจิตและจิตเวช
กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณะสุข http://www.dmh.go.th/news/view.asp?id=943
บทความ
๒ The Merck Manual of Health & Aging
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น