เทคโนโลยี่ที่เราใช้ในการอ่านเปลื่ยนวิธีการอ่านของเราได้อย่างไร
เริ่มมาตั้งแต่ปีค.ศ.1980 บรรดานักวิจัยทางสรีรกายภาค,คอมพิวเตอร์,วิศวศาสตร์และสารสนเทศได้ตีพิมพ์ผลการศึกษาออกมากว่า 100 เรื่องที่สำรวจถึงความแตกต่างระหว่างผู้อ่านบนแผ่นกระดาษกับผู้อ่านจากหน้าจอดิจิตอล เมื่อก่อนปีค.ศ.1992การทดลองส่วนใหญ่สรุปว่าผู้อ่าน หัวเรื่อง เรื่อง บทความ บนจอดิจิตอลได้ช้ากว่าและจำได้น้อยกว่าเนื่องจากความชัดเจนจอภาพที่จำกัด อย่างไรก็ตามเมื่อมีการนำสื่อหลายรูปแบบพร้อมกันออกมา ผลสำรวจเร็วๆนี้เสนอว่า แม้นว่าประชาชนส่วนใหญ่ยังคงติดชอบกระดาษโดยเฉพาะเมื่อเขาต้องเพ่งสมาธิให้ความสนใจเป็นเวลานาน ทัศนคติกำลังเปลื่ยนไปเมื่อมีแท็ปเล็ตและเทคโนโลยี่การอ่านทางดิจิตอลได้ถูกพัฒนาขึ้น ขณะที่กำลังอ่านตัวหนังสือ(ทางจอ)ดิจิตอลไม่ว่าเพื่อความเพลิดเพลินหรือสาระสำคัญ รสนิยมนี้แพร่หลายจนเป็นปกติ ในสหรัฐอเมริกา อี-บ๊คได้ถูกผลิตขึ้นถึงร้อยละ20 ของยอดหนังสือที่ขายตามสาธารณะ
แม้ว่าการเพิ่มขึ้นของเทคโนโลยี่ สมัยนิยมและความเป็นมิตรกับผู้ใช้มีมากมาย จากการศึกษาตีพิมพ์ว่า ตั้งแต่ต้นปี ค.ศ.1990 กระดาษยังคงได้เปรียบเหนือจอดิจิตอลในฐานะเป็นพื้นฉากกลางของการอ่าน รวมถึงผลทดลองทางห้องแล็ปจากโพลสอบถามและรายงานจากผู้บริโภค ชี้ให้เห็นว่า เครื่องมือดิจิตอลนั้นป้องกันผู้อ่าน จากการนำทางไปตามตัวหนังสือหลายๆตัวที่เรียงยาว อาจยับยั้งการอ่านเข้าใจอย่างมีประสิทธิภาพ ขณะที่เรากำลังอ่าน มันยากลำบากเล็กน้อยอยู่บ้างที่จะจดจำว่าอ่านอะไรอยู่ เมื่ออ่านผ่านไปแล้วผู้อ่านจะตระหนักถึงตัวหนังสือหรือไม่ ผู้อ่านมักเข้าถึงคอมพิวเตอร์หรือแท็ปเล็ตด้วยจิตใจเป็นตัวช่วยที่มีความมุ่งมั่นน้อยกว่าผู้อ่านบนแผ่นกระดาษ ผู้นิยมการอ่านทางอีเล็คโทรนิคจะสูญเสียการสร้างความเจนจัดรับรู้จากการอ่านบนแผ่นกระดาษทำให้บางคนพบต่อความสับสน
“มันมีลักษณะสรีระกายภาคในการอ่าน” “ อาจจะมากกว่าที่เราต้องคิดกันว่า ถ้าเราโถมไปยังการอ่านทางดิจิตอลขณะที่เราเคลื่อนไปข้างหน้าบางทีจะมีผลย้อนกลับมาน้อยมาก ผมปราถนาจะรักษาความสมบูรณ์ดีเลิศของการอ่านรูปแบบเก่าแต่ก็รู้ว่าเวลาใดที่จะใช้วิธีใหม่ ”นักวิทยาศาสตร์ชื่อ Maryanne Wolf แห่งมหาวิทยาลัย Tufts กล่าว
Textual Landscapes ปริมณฑลของตัวหนังสือ
การทำความเข้าใจว่าการอ่านบนกระดาษแตกต่างจากอ่านบนจอดิจิตอล ต้องแสดงการอธิบายถึงสมองมนุษย์แปลและสื่อความหมายภาษาเขียน ได้อย่างไร แม้ว่าตัวอักษรและคำเป็นเครื่องหมายแทนเสียงและความคิด สมองรับรู้มันในฐานะวัตถุทางกายภาพ ก็อย่างที่ Wolf อธิบายในหนังสือของเธอปี2007หนังสือชื่อ Proust and the Squid พวกเราไม่ได้เกิดมาพร้อมกับ วงจรสมองที่ทุ่มเทกับการอ่าน เพราะเราไม่ได้ประดิษฐ์สร้างการเขียนมาตั้งแต่แรกเพิ่งมาประดิษฐ์ในช่วงเวลาที่สัมพันธ์กับการพัฒนาประวัติศาสตร์มนุษยชาติ ประมาณสี่พันปีก่อนศริตกาล ดังนั้นในวัยเด๋ก สมองจะเจริญพัฒนาวงจรส่วนของการอ่านโดยถักทอประสานเส้นใยเนื้อเยื่อนิวรอนต่างๆเข้าด้วยกันเพื่อมอบความสามารถ(ควมคุมสั่งการรับรู้)ด้านต่างๆ เช่น การพูด,การเคลื่อนไหวที่สัมพันธ์กับการมองเห็น
ด้วยส่วนของสมองที่เจาะจงเฉพาะในการรับรู้วัตถุนี้ มันช่วยให้เราแยกเยอะแอ๊ปเปิลจากส้ม ใช่ทั้งสองสิ่งจัดอยู่พวก ผลไม้ เช่นเดียวกับที่เราอ่านและเขียน เราเริ่มที่รู้จัก ตัวอักษรโดยการเรียงลำดับของเส้นรูปความโค้งของมัน และรูช่องว่าง ขบวนการรับรู้โดยสัมผัสต้องใช้ทั้งสายตาและมือ จากการวิจัยเร็วๆนี้ของ คาริน เจมส์(Karin Jame)แห่งมหาวิทยาลัยอินเดียน่าเผยว่า วงจรการอ่านของเด็กอายุ ห้าขวบปะทุออกมาด้วยกิจกรรมเมื่อพวกเขาเขียนหนังสือด้วยมือแต่จะไม่เกิดขึ้นเมื่อพิมพ์บนแป้นพิมพ์ และเมื่อผู้อ่านอักษรแบบคัดลายมือหรืออักษรตัวเขียนที่สับสนยุ่งยากอย่างอักษรญี่ปุนอักษรจีน สมองก็จะ(มุ่ง)ไปตามตัวหนังสือการเคลื่อนไหวของการเขียนแม้ว่าในมือจะว่างเปล่า
ภายใต้การรับรู้แต่ละตัวอักษรเหมือนวัตถุที่มีตัวตน สมองมนุษย์อาจจะรับรู้ตัวหนังสือตัวหนึ่งมาในปริมณฑลกายภาพของมัน เมื่อเราอ่าน เราได้สร้างมโนจิตตัวแทนของหนังสือ ธรรมชาติที่ถูกต้องของการแทนเช่นนั้นนักวิจัยยังคงทราบไม่แน่ชัด แต่พวกเขาคิดว่ามันเหมือนกับ มโนแผนที่ที่เราสร้างขึ้นตามภูมิประเทศ อย่างเช่น ภูเขา ,รอยทาง ถ้าเป็นในร่มก็อย่างเช่น อพาร์ทเมนต์,สำนักงาน(หมายถึง ตัวหนังสือแต่ละตัวในหนังสือทั้งหมดเป็นรอยทางในภูเขา สำนักงานในอพาร์ทเมนต์เป็นสิ่งชี้บอกว่าเป็นส่วนไหนของอพาร์ทเมนต์(ความเห็นของผู้แปล) ) ทั้งสิ่งตีพิมพ์ผลจากการศึกษาและประสบการ์ณจากผู้อ่านรายงานว่า เมื่อเขาพยายามวงตำแหน่งตอนหนึ่งของข้อเขียนในหนังสือ พวกเขาจะจำตัวอักษรที่ปรากฏเสมอ เหมือนอย่างเช่นเราจะอาจจะเรียกคืนความจำที่เราผ่านโรงนาสีแดงใกล้กับจุดเริ่มของทางขึ้นเขาก่อนที่เราจะปืนขึ้นภูเขาผ่านป่าไพร หรือว่า เราจำได้ถึง Mr.Darcy(ตัวละคร)บอกปฎิเสธElizabethในหนังสือนวนิยายเรื่อง Pride and Prejudiceของ Jane Austen ณ.งานเต้นรำ ว่ามันอยู่ตรงมุมซ้ายด้านล่างของบทต้นๆ
โดยส่วนมากแล้วหนังสือกระดาษแสดงแผนที่พรรณนาภูมิได้อย่างชัดเจนกว่าจอดิจิตอล การพลิกเปิดหน้าหนังสือแต่ละครั้งทำให้ผู้อ่านเห็นสองอาณาเขตชัดเจนแผ่นซ้ายมือและแผ่นขวามือ มีมุมทั้งหมดแปดมุมจัดเรียงในตัวมัน คุณสามารถจดจ่อบนแผ่นเดี่ยวของกระดาษหนังสือ โดยไม่ต้องพะวงคำนึงตัวหนังสือทั้งหมด คุณรู้ได้ถึงความหนาของบรรดาแผ่นกระดาษที่อ่านแล้วอยู่ในมือหนึ่งและแผ่นกระดาษที่ยังไม่ได้อ่านอยู่อีกมือหนึ่ง การผลิกหน้าหนังสือเสมือนหนึ่งการทิ้งรอยเท้าแต่ละก้าวหลังรอยเดิม นี่คือจังหวะของมัน บันทึกการเห็นไว้ว่า อ่านมาไกลเท่าไร สิ่งเหล่านี้ทำให้ตามตัวหนังสือได้ง่ายบนแผ่นกระดาษ และมันก็ง่ายต่อการเกิดความสัมพันธ์มโนแผนที่(mental map)แห่งตัวหนังสือ
ในทางตรงกันข้ามเครื่องมือดิจิตอลส่วนใหญ่รบกวนการนำทางตัวหนังสือทางสัญชาตญาณและขัดขวางผู้อ่านจากการสำรวจตามมโนแผนที่ผู้อ่านหนังสือทางจอดิจิตอลเคลื่อนหน้าจอได้ไปเรื่อยไร้ตะเข็บกระแสคำ แตะไปข้างหน้าหนึ่งหน้าต่อครั้งหรือใช้การค้นหา(search)หาอย่างรัดทันทีไปที่ คำ วลี นั้นๆ แต่มันก็ยากที่เห็นตอนหนึ่งตอนใดของข้อความในตัวหนังสือทั้งหมด เปรียบได้กับ ภาพที่กลูเกิลแม๊ป(Google Map)อนุญาตให้ผู้ชมสำรวจหาถนนแต่ละถนน และเช่นเดียวกับ เครื่องย้ายมวสารที่กำหนดที่อยู่เฉพาะเจาะจงแต่ป้องกันการซูมออกเพื่อให้เห็นเพื่อนบ้านจนถึงรัฐ,ประเทศ นอกจากนั้นการมองผ่านๆไปยังท่อนเลื่อนไปข้างหน้า(แท่งบาร์ที่ให้คลิ๊ก,ลากหน้าหนังสือจอดิจิตอล (ผู้แปล))ให้ความสำนึกที่คลุมเครือมากกว่าน้ำหนักของแผ่นหน้าหนังสือที่อ่านแล้วและยังไม่ได้อ่าน และแม้ว่านักอ่านดิจิตอลจะพลิกกลับหน้าการปรากฏของหน้าเป็นเพียงชั่วคราว หลังจากได้อ่านมันก็หายไป แทนที่คุณจะแกะรอยทางเท้าด้วยตนเอง คุณมองต้นไม้ หินหญ้ามอสแค่แว๊ปผ่านไปโดยเร็ว ไม่มีร่องรอยที่จับต้องได้ปรากฏให้เห็นก่อนจึงยากที่เห็นวิ่งซ่อนเร้นข้างหน้า
“ความรู้สึกที่บอกเป็นนัยถึงที่คุณอยู่ตรงไหน ณ.หนังสือที่จับต้องได้ สะท้อนกลับเกิดความสำคัญมากกว่าที่เราเข้าใจ ” นายAbigall J.Sellen แห่งสถาบันวิจัยไมโครซ๊อฟ แคมบริดจ์ อังกฤษผู้ร่วมเขียนหนัสือชื่อ The Myth of the Paperless Office กล่าว “ เมื่อไรที่คุณใช้แต่ อี-บุ๊ค คุณเริ่มพลาดมัน ผมไม่คิดว่าอุตสาหกรรมหนังสือ อี-บุ๊คได้คำนึงอย่างเพียงพอว่าผู้อ่านนึกภาพออกว่าอยู่ตรงไหนในหนังสือได้อย่างไร
การอ่านที่ทำให้หมดกำลัง Exhaustive Reading
อย่างน้อยมีการศึกษาน้อยมากได้ข้อคิดเห็นว่า จอดิจิตอลบางครั้งทำลายภาวะความเข้าใจอย่างถูกต้องเพราะมันบิดเบือนความรู้สึกของผู้อ่านถึงตำแหน่งตัวหนังสือ ในเดือนมกราคม 2013 จากการศึกษาของ Anne Mangen แห่งมหาวิทยาลัย Stavanger ประเทศนอรเวย์ เธอและผู้ร่วมงาน ให้นักศึกษาที่ได้เกรด10 จำนวน 72 คน ศึกษาบทพรรณาบทหนึ่งและตำราอธิบายอีกหนึ่งเรื่อง จำนวนนักศึกษาครึ่งหนึ่งอ่านจากกระดาษนักศึกษาอีกครึ่งอ่านบนจอดิจิตอลไฟล์PDF หลังจานั้น ให้นักศึกษาแข่งกันทำข้อสอบการอ่านบทความ ระหว่างทำข้อสอบให้ค้นตัวหนังสือได้จากที่อ่าน กลุ่มนักศึกษาที่อ่านทางจอดิจิตอลผิดผลาดเล็กน้อย เป็นเพราะส่วนใหญ่ก็ใช้การเลื่อนคอร์เซอร์ คลิกตามPDFไฟล์ ตอนละครั้ง ขณะที่กลุ่มนักศึกษาที่อ่านจากกระดาษถือตัวหนังสือทั้งหมดไว้ในมือและผลิกเปลื่อนหน้าที่แตกต่างอย่างรวดเร็ว “ ในกรณีนี้คุณสามารถค้นหา ตอนเริ่มแรก ตอนจบ และทุกๆสิ่งระหว่างตอนและตัวเชื่อมคงที่ตามตัวหนังสือที่ผ่านไป อาจจะทำให้ประเมินค่าทางจิตใจน้อยลง ” Mangen กล่าว” คุณมีความสามารถในการรับรู้บทความ,เรียงความมาบรรจุในสมองมากขึ้น
นักวิจัยกลุ่มอื่นๆต่างเห็นต้องกันว่า การอ่านจากจอดิจิตอล ทำให้เนื้อเรื่องดูตื้อๆทึบๆเพราะว่ามันเกิดภาระของสมาธิมากไปเกิดการล้าทางสรีระเมื่ออ่าน มากกว่าเมื่ออ่านบนกระดาษ หมึกอีเล็กโทนิค(เส้นตัวหนังสือ)เปล่งสะท้อนแสง เหมือนกับ หมึกของตัวหนังสือบนแผ่นกระดาษแต่หน้าจอดิจิตอล ของแท็ปเล็ต,สมาร์ทโฟนเปล่งแสงมาสู่ผู้อ่านโดยตรง ปัจจุบันนี้จอ แอลซีดีให้ความนุ่มนวลต่อสายตาดีกว่าแต่ก่อน(จอ CRT)แต่การอ่านที่ยาวนานบนจอแบนเรียบเปล่งแสงออกมาในตัวทำให้กล้ามเนื้อนัยตาเมื่อยล้าพร่ามัวปวดศรีษะ ในการทดลองของ Erik Wastlundณ.มหาวิทยาลัย Kerlstad สวีเดน ทดลองให้ผู้อ่าน อ่านบทความบทพรรณาเป็นบททดสอบจากคอมพิวเตอร์ ผู้อ่านจากคอมพิวเตอร์ได้คะแนนต่ำกว่าและพบกับความเครียดมากกว่ากลุ่มผู้อ่านจากกระดาษ
ในการทดลองของWaestlund อาสาสมัคร 82คนได้อ่านบทความทดสอบที่เหมือนกัน กลุ่มหนึ่งทดสอบอ่านบนคอมพิวเตอร์ อีกลุ่มอ่านจากบทความที่เป็นเอกสารที่มีเลขหน้าเอกสาร หรือแผ่นกระดาษที่ต่อเนื่อง หลังจากนั้นนักวิจัยก็ค้นหาความสนใจและความจดจำ อาสาสมัครต้องเปิดอ่านส่วนที่pop up หน้าจออย่างรวดเร็ว จดจำตัวเลขที่ขึ้นบนจออย่างรวดเร็ว เหมือนกับความสามารถเกี่ยวกับการรับรู้หรือเข้าใจหลายอย่าง การทำงานระบบความจำคือ แหล่งทรัพยากรจำกัดที่ถูกทำให้ลดลงโดยความเครียดเครียด
แม้นว่าผู้อ่านทั้งสองกลุ่มทำทดสอบได้ผลพอๆกัน แต่กลุ่มผู้ที่เลื่อนหน้าจอโดยตลอดไม่มีการขัดจังหวะทำได้เลวบนความตั้งใจและการทดสอบความจำ นาย Waestlund คิดว่าการเลื่อนหน้าจอผู้อ่านต้องการสมาธิเพ่งไปยังทั้งตัวหนังสือและวิธีการที่พวกเขาจะเลื่อนหน้าตัวหนังสือซึ่งจะดึงสมาธิออกไปมากกว่าการพลิกหรือคลิกหน้าหนังสือซึงมันง่ายกว่า และการเคลื่อนไหวอวัยวะร่างกายอัตโนมัติ ยิ่งการจดจ่อตั้งใจได้ส่งไปยังการเคลื่อนไหวไปตามตัวหนังสือยิ่งมากเท่าไหร ความสามารถในการเข้าใจมันก็ยิ่งน้อยลง เมื่อปี ค.ศ.2004 มีการศึกษาที่มหาวิทยาลัยเซนทรัลฟอริด้าก็ได้ผลสรุปเหมือนกัน
มีการรวบรวมผลการศึกษาที่เน้นเพิ่มเติมไปยังการอ่านหน้าจอ เป็นไปได้ที่ดึงดูดความสนใจได้มากกว่ากระดาษ ครั้งแรกเห็นผู้อ่านมักไม่นำพาความพยายามตั้งใจกับจอมากนัก ต่อมาในปี2005มีการสำรวจกับผู้อ่าน113คน Liming Liu แห่งมหาวิทยาลัย San Jose state สรุปว่าการอ่านบนจอคอมพิวเตอร์พบทางลัดมากมาย พวกเขาจึงเสียเวลากับการกวาดสายตา การสแกน การไล่ล่าหาคียร์เวิร์ด เมื่อเปรียบกับผู้อ่านบนแผ่นกระดาษซึ่งมักอ่านเอกสารแบบเพียงครั้งเดียว
เมื่อมีการอ่านบนหน้าจอดูเหมือนผู้อ่านเสื่อมถดถอยไปสู่ภาวะที่นักจิตวิทยาเรียกว่า metacognitive learning regulation การควบคุมแห่งการเรียนรู้แบบอภิปัญญา ตั้งเป้าหมายเฉพาะอ่านบทที่ยากซ้ำๆและตรวจเช็ดว่าผู้อ่านเข้าใจได้มากเท่าใด ในปี 2011 ที่สถาบัน Technion Isael Institute of Technology มีการทดสอบกับนักศึกษาให้ทำข้อสอบชนิดเลือกหัวข้อตอบ(multiple choice)เกี่ยวกับ ตำราที่มีการอธิบายไม่ว่าบนจอคอมพิวเตอร์หรือบนกระดาษ ครึ่งหนึ่งของอาสาสมัครให้เวลาจำกัด เพียง เจ็ดนาทีส่วนอีกครึ่งหนึ่งสามารถอ่านทบทวนนานเท่าที่ต้องการ เมื่อให้เวลาจำกัดทั้งผู้ที่ทดสอบกับคอมพิวเตอร์และกับกระดาษทำได้ดีเท่ากันแต่เมื่อให้พวกเขาบริหารจัดการเวลาด้วยตนเองผู้อ่านบนกระดาษได้คะแนนสูงกว่าประมาณ10% น่าเป็นไปได้ว่าว่า นักศึกษาที่อ่านบนกระดาษเข้าสูความมุ่งมั่นกว่าการอ่านผ่านๆบนจอคอมพิวเตอร์และมีประสิทธิภาพตรงตามความตั้งใจให้ผลในความทรงจำ
จากการศึกษาแม้ว่าจะพบความแตกต่างน้อยมากในการอ่านบทความบทพรรณาระหว่างบนจอดิจิตอลกับบนแผ่นกระดาษ ผู้อ่านจากจอดิจิตอลอาจไม่จำตัวหนังสือตลอดการอ่านที่ยาว ในปี 2003นักวิจัยชื่อ Kote Gerland แห่งมหาวิทยาลัย Leicester ในอังกฤษและผู้ร่วมงานของเธอ สอบถามนักศึกษาอังกฤษ 50คน โดยให้อ่านเอกสารในเรื่องบทนำวิชาเศรษฐศาสตร์ ไม่ทางทางจอดิจิตอลหรือจากหนังสือขนาดเล็กที่ร้อยเป็นพวง หลังจากการอ่านผ่านไป20 นาทีก็ได้ทำแบบทดสอบ(Quiz)กับนักศึกษา ทั้งสองกลุ่มได้คะแนนเท่ากันจะแตกต่างที่วิธีทีพวกเขาจำข้อมูลกันอย่างไร
นักจิตวิทยา ได้แยกแบ่งระหว่างการจำทีสัมพันธ์แบบอ่อนๆจากระบบความทรงจำที่ซึงมนุษย์จะเรียกคืนส่วนหนึ่งของข้อมูลกลับมาตามรายละเอียดที่ต่อเนื่อง อย่างเช่น ที่ไหน เมื่อไหร เราได้เรียนมันและรู้จักบางสิ่ง,รูปแบบความจำที่มั่นคงอธิบายถึงสิ่งนั้นถูกต้องอย่างแน่แท้;ขณะที่ทำแบบทดสอบ อาสาสมัครของ Gerland ทำเครื่องหมายไว้ทั้งคำตอบและเขาจำหรือรู้คำตอบหรือไม่ นักศึกษาที่อ่านจากจอดิจิตอลยึดมั่นในความทรงจำมากกว่าการรู้เข้าใจ ขณะที่นักศึกษาอ่านจากแผ่นกระดาษใช้ทั้งสองอย่าง Gerlandและทีมวิจัยคิดว่านักศึกษาที่อ่านจากแผ่นกระดาษนั้นเรียนรู้และศึกษาเนื้อหาสาระโดยตลอดและรวดเร็วกว่า,พวกเขาไม่ต้องเสียเวลามากไปกับการค้นหาในความคิดเพื่อได้ข้อมูลจากตัวหนังสือ,พวกเขามักจะรู้คำตอบอยู่แล้ว
บางทีความขัดแย้งใดๆในการอ่านบทความพรรณาระหว่างจากกระดาษและจากจอดิจิตอลจะหดรัดความตั้งใจแน่วแน่ของผู้อ่านเรื่อยๆจนเปลื่ยนแปลง ไอแพ็คอาจเป็นรูปแบบแม๊กกาซืนยอดนิยมแต่ไม่ทำงาน เติบโตขึ้นแพร่หลายขึ้นโดยปราศจากอคติที่เฉียบแหลมที่ซ่อนอยู่ในระหว่างคนรุ่นเก่าต่อจอดิจิตอล การวิจัยล่าสุดเสนอว่า อย่างไรก็ตามการที่จอดิจิตอลแทนที่กระดาษในตอนต้นๆนั้นไม่ได้เปรียบจนถึงกับเสื่อมค่าหยุดใช้ไปง่ายๆ ในปี2012 มีการศึกษาของ Joan Ganz Cooney ที่นิวยอร์ค คักเลือกผู้ปกครอง 32คู่กับกับเด็กอายุ 3-6 ขวบ พวกเด็กๆจะจดจำรายละเอียดจากเรื่องราวที่เขาอ่านจากกระดาษได้มากกว่าอ่านจากหนังสืออีเล็คโทนิด(อี-บุ๊ค)ที่มีการเสริมด้วยการโต้ตอบด้วยภาพเคลื่อนไหวและวีดีโอและเกมส์ พวกเสียงกระดิงและนกหวีดเปลื่ยนทอนความตั้งใจมุ่งมั่นไปจากเรื่องที่ให้อ่าน และเมื่อได้ทำการสำรวจต่อกับอีกผู้ปกครอง1226คู่ พวกเขาและพวกเด็กชอบที่จะอ่านจากแผ่นกระดาษมากกว่าอี-บุ๊คเมื่อได้อ่านทั้งสองอย่าง
มีผลการศึกษาที่ใกล้เคียงกับสองการศึกษาตามมา อธิบายไว้ในเดือนกันยายน ในเรื่องของ จิต สมองและการศึกษาทำการศึกษาโดยJulia Parrish Morris และผู้ร่วมงานของมหาวิทยาลัยเพนนิซิวาเนีย เมื่อผู้ปกครองอ่านหนังสือให้กับเด็กอายุสามถึงห้าขวบของเขาฟัง พ่อแม่ได้ช่วยมีความสัมพันธ์เรื่องไปยังชีวิตของพวกเด็ก แต่เมื่ออ่านโดยหนังสืออีเล็กโทนิคที่มีเสียงประกอบในตัว(sound effec) ผู้ปกครองมักต้องถูกแทรกให้หยุดอ่าน เพื่อที่จะห้ามเด็กจากการหาปุมควมคุม เกิดการสูญเสียติดตามเนื้อเรื่อง การมีสิ่งทำให้ไข้วเขวได้ขัดขวางเด็กสามขวบจากการเข้าใจบทสรุปของเรื่อง แต่เมื่อเด็กๆตามเรื่องจากการอ่านบนกระดาษหนังสือมันจะดีขึ้น
การวิจัยกับผู้อ่านเยาว์วัยนี้เน้นย้ำถึงคุณสมบัติของกระดาษที่อาจมีจุดแข็งฐานะเป็นตัวสื่อการอ่านเรื่องของความพอประมาณของมัน ตัวหนังสือดิจิตอลเป็นที่ยอมรับว่ามีประโยช์นเหนือกว่าในหลายสถานะการ์ณ เมื่อเราค้นหาในเวลาจำกัดมีความสะดวกรวดเร็วได้มาถึงคำไขเฉลย(คียเวิร์ด)หลายร้อยคำ ค้นหาทางเอกสารออนไลน์มากมายกว้างเกินจนครอบงำคุณประโยชน์ในบทความและการเก็บรักษาที่มาพร้อมกับตำแหน่งร่องรางตลอดกระดาษหนังสือ และสำหรับผู้อ่านที่มีปัญหาการมองเห็น การเพิ่มลดขนาดตัวอักษรทั้งความคมชัดจอแอลซีดี เหล่านี้คือสิ่งประดิษฐที่พระเจ้าประทานให้ แน่ละกระดาษไม่เหมือนจอดิจิตอล โดยตัวมันเองยากที่จะเรียกความสนใจหรือเบนไปจากตัวอักษร เพราะความเรียบง่ายของมัน นี่คือจุดยืน สมอเรือที่ยึดเกี่ยวความตระหนักรู้ ตามที่William Power เขียนไว้ในบทความปี2006 ผู้อ่านบอกอย่างสม่ำเสมอว่าเมื่อไรที่พวกเขาต้องการที่จะมุ่งความสนใจไปยังตำรา เขาอ่านมันบนกระดาษ
ในปี2011 มีการสำรวจนักศึกษามหาวิทยาลัยแห่งชาติไต้หวัน พบว่าส่วนใหญ่จะอ่านผ่านๆ(บทความเรื่องราว)พารากราฟสองสามแห่งบนออนไลน์ก่อนที่จะสั่งพิมพ์ออกมาในเนื้อเรื่องทั้งหมดเพื่ออ่านโดยละเอียดและในปี2003 มีการสำรวจในเม็กซิโกกับนักศึกษา687คน ที่The National Autonomous University พบว่าเกือบร้อยละแปดสิบชอบการอ่านตำราบนกระดาษมากกว่าจากจอดิจิตอล เข้าใจมันได้อย่างชัดเจน
เมื่อมาพิจารณาในกรอบของวัจนปฎิบัติศาสตร์* วิถีที่เรารู้สึกเกี่ยวกับหนังสือที่เป็นกระดาษ หรือผู้อ่านบนจออีเลคโทนิคและเส้นทางที่มันรู้สึกได้ในมือเรา จะตัดสินว่าเราจะซื้อหนังสือปกแข็งขายดีที่สุดหรือจะดาวน์โหลดมันจากอเมซอน จากการสำรวจและรายงานจากผู้บริโภค(ผู้อ่าน)ให้ความเห็นว่ารูปร่างหน้าตาเกี่ยวกับความรู้สึกของการอ่านจากกระดาษสู่ผู้อ่านมากกว่าใครจะคาดคิดได้: ความรู้สึกถึงกระดาษและหมึก ;แผ่นกระดาษที่งอโค้งหรือเรียบด้วยนิ้วของผู้อ่าน; เสียงลักษณะพิเศษเมื่อพลิกหน้าหนังสือ อย่างไรแล้วหนังสือดิจิตอลไม่ให้ความรู้สึกเฉกเช่นนั้น หนังสือกระดาษยังมีขนาดของหนังสือซึ่งมองออกได้ทันที รูปร่างและน้ำหนัก เราอาจอ้างถึงหนังสือปกแข็งเรื่อง “สงครามและสันติภาพ War and Peace” ของ Leo Tolstoy ในฐานะหนังสือขนาดใหญ่ล่ำสัน หรือหนังสือปกอ่อนของ Joseph Conradเรื่องHeart of Darkness ในฐานะหนังสือขนาดบางกระฉับ ในทางตรงข้ามแม้ว่า หนังสือดิจิตอลจะแสดงให้เห็นความยาวจากแถบหรือบาร์เลื่อนหน้าแต่ก็ไม่เห็นรูปร่างความหนาที่ชัดเจน ผู้อ่านคนหนึ่งอาจชั่งน้ำหนักเลือกว่าอ่านหนังสือของ Marcel Proust’s magnum opus หรือเรื่องสั้นรื่องหนึ่งของ Ernest Hemingway นักวิจัยบางท่านได้พบว่าความขัดแย้งไม่ตรงกันเกิดมากพอที่ถูกเรียกว่าความไม่กลมกลืนในความสัมผัสไปหน่วงเหนี่ยวผู้อ่านบางรายจากการใช้เครื่องอ่านอีเล็คโทนิค
เพื่อที่จะแก้ไขปรับปรุงการเข้ากันไม่ได้เกี่ยวกับความรู้สึกนี้ นักประดิษฐออกแบบหลายรายทำงานอย่างหนักเพื่อให้ผู้อ่านหนังสืออีเล็คโทนิกหรือความจัดเจนต่อเครื่องมืออ่านเข้าใกล้การอ่านจากหนังสือกระดาษเท่าที่เป็นไปได้ หมึกอีเล็คโทนิคเมือนกับหมึกเคมี การวางรูปแบบหน้าจอให้ง่ายของเครื่องอ่านKindle ดูเหมือนกระดาษแผ่นหนึ่งของหนังสือ ไอบุ๊คของแอ็ปเปิล พยายามจำลองการพลิกเปลื่ยนหน้ากระดาษให้เหมือนจริง ลักษณะท่าทางอย่างนั้นเป็นสุนทรียศาสตร์มากกว่าวัจนปฎิบัติศาสตร์
อี-บุ๊คยังคงขัคขวางผู้อ่านจากการอ่านผ่านๆเร็วๆไปข้างหน้าตามอำเภอใจหรือพลิกไปยังบทที่ผ่านมาได้ง่ายเมื่อประโยคหนึ่งวาบแว๊ปความจดจำบางสิ่งที่ผู้อ่านอ่านผ่านมาแล้ว
นักประดิษฐ์บางรายไม่จำกัดตนเองพัฒนาแค่ให้เหมือนกับกระดาษหนังสือ พวกเขากำลังปรับฐานการอ่านจากหน้าจออะไรบางอย่างโดยสิ้นเชิง การเลื่อนจอภาพอาจไม่ใช่วิถีชี้นำทางตัวหนังสือที่ยาวและหนาแน่น แต่พวกหนังสือพิมพ์(อีเล็คโทนิค)อย่าง the New York Time;the Washington Post,ESPN และสื่ออื่นๆได้สร้างการผาดหัวที่สวยงามน่าดูอย่างที่ไม่เคยปรากฏในการพิมพ์เพราะพวกเขาได้ผสมภาพยนตร์กับตัวหนังสือรวมสคิ๊ปเสียงไปตามการเลื่อนหน้าจอเพื่อสร้างความจัดเจนในภาพเคลื่อนไหว นักประดิษฐ์ชื่อ Robin Sloan เป็นผู้บุกเบิกวิธีแตะหน้าจอสั่งงาน ที่ขึ้นอยู่บนพื้นฐานปฎิสัมพันธ์ทางสรีระ เพื่อตั้งจังหวะ,ระดับเสียงสูงต่ำ,เปิดหาคำใหม่ๆ,ประโยคและภาพ เมื่อผู้ใช้แตะที่หน้าจอโทรศัพท์หรือจอสัมผัสทัชสกีนแท็ปเล็ตและนักเขียนบางคนกำลังพล็อตเขียนเรื่องนิยาย,เรื่องจริงด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์อย่างที่สามารถโต้ตอบได้อย่างน่าทึ่งที่ผู้ใช้จะตัดสินใจเลือกอ่าน,ฟัง,หรือดูต่อไป
เมื่อมันมาถึงการอ่านอย่างเอาจริงเอาจังบนกระดาษที่ยาวประกอบเป็นตำราโดยไม่มีการเสริมแต่งปลีกย่อย กระดาษและหมึกอาจจะยังได้เปรียบอยู่ แต่ตัวอักษร,ตัวหนังสือที่เรียบง่ายไม่ใช่หนทางเดียวที่เข้าถึงการอ่าน
แปลจาก “ Why the Brain Prefers Paer “ Scientific American Magazine ,November 2013
วัจนปฏิบัติศาสตร์ (อังกฤษ: Pragmatics, จากภาษากรีก Pragma แปลว่า "สิ่งของ" หรือ "การกระทำ") เป็นทฤษฎีทางภาษาศาสตร์ที่ว่าด้วยการใช้ภาษาของมนุษย์ที่เกิดขึ้นในสถานการณ์หรือบริบทต่าง ๆ กัน (ศึกษาว่าในสถานการณ์หนึ่ง ๆ ทำไมเราจึงพูดอย่างนั้นและไม่ใช่อย่างอื่น) รวมถึงศึกษาว่าการใช้ภาษาของมนุษย์นั้นมีจุดประสงค์อะไร)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น