What is Schizophrenia ?
คำภาษาอังกฤษของ schizophrenia จะมาจากภาษากรีกที่แปลว่าการแบ่งแยกของจิตใจ โรคจิตเภทคือ กลุ่มอาการของโรคจิต ที่มีความผิดปกติทางจิตทำให้เกิดการแตกแยกของกระบวนการคิดและตอบสนองทางอารมณ์ ลักษณะอาการของโรคจิตเภท คือความไม่สงบทางอารมณ์ ความคิด กิจกรรม และการพูดการใช้ภาษา ทำให้คนไข้อยู่ในความขาดกลัวมีลักษณะอาการขายา
สาเหตุของการเกิดโรคยังไม่แน่ชัด ทราบแต่ว่าเมื่อมีอาการเกิดขึ้น อาจเนื่องมาจากการเพิ่ม,ลดระดับของสารสื่อนำกระแสในใยประสาทประสาทเช่น โดพามีน(Dopamine) และเชื่อกันว่าปัจจัยทางพันธุกรรม สิ่งแวดล้อมในวัยเด็ก ประสาทชีววิทยา ปัจจัยทางจิตใจ และกระบวนการทางสังคม เป็นปัจจัยที่สำคัญในการเกิดโรค ยาเสพติดและยาบางชนิดอาจเป็นสาเหตุหรือทำให้อาการแย่ลงได้ งานวิจัยในปัจจุบัน ก็ยังไม่สามารถหาสาเหตุทางกายที่เป็นสาเหตุเดี่ยวๆ ของโรคได้เนื่องจากโรคนี้มีการแสดงออกของอาการได้หลายรูปแบบ จึงยังเป็นที่ถกเถียงว่าคำวินิจฉัยโรคจิตเภทนี้เป็นโรคเพียงโรคเดียวหรือเป็นกลุ่มของโรคหลายๆ โรค แต่โรคนี้ไม่ใช่โรคที่ทำให้มีหลายบุคลิกอย่างที่สังคมบางส่วนเข้าใจ
สำหรับ อาการของโรคจิตเภท แบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทคือ ลักษณะอาการทางบวก และลักษณะอาการ ทางลบ
กลุ่มลักษณะอาการทางบวกหมายถึง อาการที่มีเพิ่มมากกว่าคนปกติทั่วไป ได้แก่
- ประสาทหลอน เช่นได้ยินเสียงคนพูดคุย ได้ยินเสียงคนพูดตำหนิ พูดโต้ตอบเสียง
นั้นเพียงคนเดียว(Hallucination)
- อาการหลงผิด เช่นคิดว่ามีเทพวิญญาณอยู่ในร่างกาย คอยบอกให้ทำสิ่งต่างๆ(Delusion)
- ความคิดผิดปกติ เช่นพูดไม่เป็นเรื่องเป็นราว พูดไม่ต่อเนื่อง เปลี่ยนเรื่องพูด
โดยไม่มีเหตุผล(Conceptual disorganization)
- พฤติกรรมผิดปกติ เช่นอยู่ในท่าแปลกๆ หัวเราะหรือร้องไห้ สลับกันเป็นพักๆ
กลุ่มลักษณะอาการทางลบหมายถึง อาการที่ขาดหรือบกพร่องไปจากคนปกติ ทั่วๆไป ได้แก่
- สีหน้าอารมณ์ฌฉยเมย ชีวิตไม่มีจุดหมาย ไม่มีสัมพันธภาพกับใคร ไม่พูด , ไม่มีอาการยินดียินร้าย ,อาการเคลื่อนไหวน้อยหรือ, (Catatonic) ,อาการวาดระแวง (Paranoid),อาการไม่สมประกอบ (Disorganized)
มองโลกผิดไปจากความเป็นจริงผู้ป่วยโรคจิตเภทมักมองโลกผิดไปจากความเป็นจริง ซึ่งแตกต่างจากคนทั่วๆไป ผู้ป่วยอาจจะมีอาการวิตกกังวล
รู้สึกสับสน อาจจะดูเหินห่าง แยกตัวจากสังคม บางครั้งอาจนั่งนิ่งเป็นหิน ไม่เคลื่อนไหวและไม่พูดจาใดๆ
เป็นชั่วโมงๆ หรืออาจเคลื่อนไหวช้า ทำอะไรช้าๆ ผู้ป่วยอาจมีพฤติกรรมแปลกๆ อยู่ตลอดเวลา
.ประสาทหลอน
ผู้ป่วยอาจคิดว่ามีบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้น ทั้งๆ ที่ความจริงไม่มีสิ่งเหล่านั้นเกิดขึ้น เช่น ได้ยินเสียงคนมาสั่ง
ให้ตนทำโน่นทำนี่ ได้ยินคนมาพูดคุยกับตน มาเตือน หรือมาตำหนิในเรื่องต่างๆ ทั้งๆ ที่ความจริงไม่มีคนพูด
หรือไม่มีต้นกำเนิดเสียงเหล่านี้เลย ซึ่งเราเรียกอาการนี้ว่า "หูแว่ว" ผู้ป่วยบางคนอาจมองเห็นคน ผี หรือสิ่ง
ของต่างๆ ซึ่งในความเป็นจริงแล้วไม่มีสิ่งเหล่านี้และไม่มีใครเห็นเหมือนผู้ป่วย เราเรียกอาการนี้ว่า
"เห็นภาพหลอน"
.ความคิดหลงผิด
ความคิดหลงผิดเป็นความเชื่อของผู้ป่วยที่ผิดไปจากความเป็นจริงและไม่ได้เป็นความเชื่อในวัฒนธรรมของ
ผู้ป่วย ซึ่งความคิดหลงผิดในผู้ป่วยจิตเภทนี้มักจะแปลกประหลาดมาก เช่น เชื่อว่าพฤติกรรมของเขาหรือ
ของคนอื่นๆถูกบังคับให้เป็นไปด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากต่างดาว เชื่อว่าความคิดของตนแพร่กระจาย
ออกไปให้คนอื่นๆที่ไม่รู้จักรับรู้ได้ว่าตนคิดอะไรอยู่ หรือเชื่อว่าวิทยุหรือโทรทัศน์ต่างก็พูดถึงตัวผู้ป่วยทั้งๆที่
ในความเป็นจริงไม่ได้เป็นอย่างนั้น
ความคิดผิดปกติ
ผู้ป่วยจะไม่สามารถคิดแบบมีเหตุมีผลได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะส่งผลให้ผู้ป่วยพูดคุยกับคนอื่นไม่ค่อยเข้าใจ
เมื่อคนอื่นคุยกับผู้ป่วยไม่ค่อยเข้าใจก็มักจะไม่ค่อยคุยด้วย ซึ่งส่งผลให้ผู้ป่วยถูกแยกให้อยู่คนเดียว
.การแสดงอารมณ์ไม่เหมาะสม
ผู้ป่วยมักจะแสดงอารมณ์ไม่เหมาะสมกับเรื่องที่กำลังพูด เช่น พูดว่าตนกำลังถูกปองร้ายจะถูกเอาชีวิต ซึ่ง
ขณะพูดก็หัวเราะอย่างตลกขบขัน (โดยไม่ใช่คนปกติที่ต้องการทำมุขตลก)พบได้บ่อยเช่นกันที่ผู้ป่วยจิตเภท
จะไม่ค่อยแสดงสีหน้า หรือความรู้สึกใดๆ รวมทั้งการพูดจาก็จะใช้เสียงระดับเดียวกันตลอด ไม่แสดง
น้ำเสียงใดๆ (monotone)
ซึ่งอาการของผู้ป่วยจิตเภทนี้ส่วนใหญ่มักจะเป็นเรื้อรังมีบ้างในบางคนที่มีอาการเพียงช่วงเวลาสั้นๆและ
สามารถหายเป็นปกติได้ แต่ก็มักต้องการการรักษาที่ต่อเนื่องเป็นระยะเวลานานเหมือนๆ กัน แต่ขอให้ระวัง
ในเรื่องฆ่าตัวตายเพราะผู้ป่วยจิตเภทมีอัตราการฆ่าตัวตายสูง
โรคจิตเภทมีสาเหตุมาจากปัจจัยทางด้านร่างกายและจิตใจ ซึ่งทางร่างกายนั้นเกิดจากความผิดปกติในการทำงานของสมองในการสร้างสารบางอย่างที่มีปริมาณมาก หรือน้อยเกินไป ส่วนทางด้านจิตใจนั้น เกิดจากความเครียดในชีวิตประจำวันเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดความ เจ็บป่วยขึ้น ดังนั้นหากสงสัยว่าท่านหรือผู้ใกล้ชิดมีอาการดังกล่าว ขอแนะนำให้รีบไปปรึกษาแพทย์ เพื่อจะได้ ให้การบำบัดรักษาที่เหมาะสมตั้งแต่เริ่มแรก
การรักษาโรคจิตเภท
เป้าหมายของการรักษามี 3 ประการคือ
1. รักษาอาการให้หายหรือบรรเทาลง
2. ป้องกันไม่ให้ป่วยอีก โดยการให้ยากินติดต่อกัน หลีกเลี่ยงสาเหตุที่จะทำให้
ป่วย หรืออาการกำเริบขึ้นควรสังเกตุอาการก่อนที่จะมีอาการกำเริบใหม่
เพื่อปรับการรักษาก่อนที่จะมีอาการรุนแรง
3. การฟื้นฟูสมรรถภาพ ทำให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น เช่นฝึกทักษะ การใช้ชีวิต
ในสังคม ทักษะในการประกอบอาชีพ ทักษะในการสื่อสาร
การรักษาให้หายหรือบรรเทาอาการลง
การรักษาด้วยยา เป็นวิธีการรักษาโรคจิตเภทที่สำคัญที่สุด ยาที่ใช้รีกษา
โรคจิตเภทมี 2 กลุ่มใหญ่ๆคือ
1. ยารักษาโรคจิตเภททั่วๆไป เช่น คลอโพรมาซีน ฮอโลเพอริดอล เป็นต้น
การออกฤทธิ์ส่วนใหญ่โดยปิดกั้นการทำงานของสารสื่อสารประสาท โดปามีน
อาการข้างเคียง และข้อควรระวัง อาจเกิดอาการข้างเคียงได้ ขึ้นกับตัวยาและ
บุคคล เช่นการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อผิดปกติ โดยอาจเกิดอาการกล้ามเนื้อ
เกร็ง มือสั่น ตัวแข็ง คอแข็งได้ อาจแก้ไขด้วยยาแก้แพ้ อาการข้างเคียงอื่นๆ
ที่อาจพบได้เช่น ง่วง น้ำหนักตัวเพิ่ม ซึ่งแก้ไขโดยการควบคุมอาหารและการ
หมั่นออกกำลังกาย เป็นต้น
2. ยารักษาโรคจิตกลุ่มใหม่ เช่น โคลซาปีน ริสเพอริโดน โดยจะออกฤทธิ์ปิดกั้น
การทำงานของสารสื่อสารประสาท ทั้งโดปามีนและซีโรโทนิน ซึ่งจะเหมาะ
กับผู้ป่วยที่มีกลุ่มลักษณะทางบวก หรืออาการลบหลงเหลืออยู่หรือมีผลข้าง
เคียงจากการใช้ยารักษาโรคจิตจากตัวอื่นๆ เช่น การเคลื่อนไหวผิดปกติ
ข้อดีของยารักษาโรคจิตกลุ่มใหม่นี้ คือ
- ทำให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
- ประสิทธิภาพดีเท่ากับหรือดีกว่ายากลุ่มแรก
- อาการข้างเคียงต่อการเคลื่อนไหวผิดปกติ จะน้อยลง
- ลดอัตราการฆ่าตัวตายของผู้ป่วยได้
โรคจิตเภทสามารถรักษาให้หายขาดได้หรือไม่
การรักษาโรคจิตเภท ผู้ป่วยควรต้องกินยาอย่างต่าเนื่อง ตามแพทย์สั่ง อาจต้องใช้เวลาหลายปี แต่ยาจะ
ช่วยควบคุมอาการและทำให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น กลับเข้าสู่สังคมได้ ดูแลตนเองและทำงานได้
การดูแลผุ้ป่วยให้สามารถดำรงชีพอยู่ได้
- กระตุ้นให้รู้จักช่วยเหลือตัวเองให้มากที่สุด เช่น อาบน้ำ แต่งตัว ซักผ้า
- ให้ช่วยทำงานบ้านอย่างง่ายๆ เช่นรดน้ำต้นไม้ ถุบ้าน ล้างชาม
- ให้ประกอบอาชีพเดิมที่เคยทำอยู่ตามความสามารถของผู้ป่วย เช่น ค้าขาย
ทำสวน
- ให้ประกอบอาชีพใหม่ใกล้บ้านตามความสนใจและตามความถนัด
ญาติมีส่วนช่วยในการดูแลผู้ป่วยจิตเภทในการดูแลผู้ป่วยโรคจิตนั้น สิ่งสำคัญอันดับแรกคือ ญาติต้องให้ความเข้าใจ และ เห็นใจผู้ป่วย เพราะผู้ป่วย มิได้มีเจตนาจะสร้างความเดือดร้อน ความรำคาญให้กับญาติ ควรให้อภัยและไม่ถือโทษโกรธผู้ป่วย ไม่ควร ขัดแย้งหรือโต้เถียงกับผู้ป่วยเกี่ยวกับอาการทางจิต แต่ควรแสดงความเห็นใจในความทุกข์ที่ผู้ป่วยได้รับ จากอาการทางจิตเหล่านั้น พร้อมทั้งเสนอความช่วยเหลือแก่เขา ซึ่งทั้งหมดต้องอาศัยความอดทนอย่างมาก อันดับต่อไปคือให้การดูแลเรื่อง การกินยา การดูแลสุขภาพอนามัย การพาไปพบแพทย์ตามนัด และหาก ในระหว่างอยู่บ้าน ผู้ป่วยมีอาการกำเริบขึ้น ก็ให้ขอคำแนะนำปรึกษาจากแพทย์ หรือพาผู้ป่วยไปพบแพทย์ที่ สถานบริการใกล้บ้านเพื่อผู้ป่วยจะได้รับการดูแล ที่เหมาะสมต่อไป ซึ่งควรปฏิบัติดังนี้
•ช่วยดูแลให้ผู้ป่วยรับประทานยาสม่ำเสมอตามแพทย์สั่ง ไม่ครวเพิ่ม หยุด หรือลดยาเอง
•ช่วยพาผู้ป่วยไปรับการบำบัดรักษาให้สม่ำเสมอ ตรงตามที่แพทย์นัดทุกครั้ง เพราะผู้ป่วย
ส่วนใหญ่ให้การดูแลตัวเองได้ไม่ดีพอ
•ถ้าผู้ป่วยมีพฤติกรรมที่ดูสับสน วุ่นวาย ดื้อ ไม่ยอมกินยา ไม่ยอมมาพบแพทย์ ญาติควรจะ
มาติดต่อกับแพทย์ เพื่อเล่าอาการของผู้ป่วยให้แพทย์ทราบซึ่งญาติจะได้รับคำแนะนำ
เพื่อนำไปช่วยเหลือผู้ป่วยต่อไป
•หมั่นสังเกตอาการผิดปกติของผู้ป่วย ถ้าพบความผิดปกติ เช่น พูดพร่ำ พูดเพ้อเจ้อ พูดคนเดียว เอะอะ
อาละวาด หงุดหงิด ฉุนเฉียว หัวเราะหรือยิ้มคนเดียว เหม่อลอย หลงผิด ประสาทหลอน หวาดกลัว
ควรรีบพาผู้ป่วยไปพบแพทย์ทันที
•จัดหากิจกรรมให้ผู้ป่วยทำโดยเฉพาะในเวลากลางวัน เพื่อไม่ให้ผู้ป่วยคิดมาก ฟุ้งซ่าน
แต่ก็ไม่ต้องถึงกับบังคับมากเกินไป
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
อ้างอิง ๑http://www.ramamental.com/medicalstudent/generalpsyc/schizophrenia/
๒ http://www.thailabonline.com/memtal-psycho.htm
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น