จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันจันทร์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

การเริ่มต้นยุคอุตสาหกรรมเภสัชในเยอร์มันนี

The Beginning of the industrial era of pharmacy in Germany
        Ernst Wilhelm Martius(1756-1849)เภสัชกรคนสำคัญของเยอร์มันนีได้เขียนบันทึกความทรงจำเก้าสิบปี 9ทศวรรษ ในปีค.ศ.1847ถึงการพัฒนาการผลิตเป็นอุตสาหกรรมได้ช่วงชิงการเตรียมยา,ปรุงยาจากมือเภสัชกรเจ้าของร้านยาโดยมิอาจเรียกคืนกลับมาได้ การพัฒนานั้นได้เปลื่ยนพื้นฐานรูปลักษณของเภสัชกรรมและร้านยาไปด้วย ทั้งนี้เนื่องจากการค้าได้เพิ่มขยายโดยโรงงาน มันง่าย ดี มีต้นทุนถูก ทำให้มีทุนสะสมเพิ่มขึ้นในมือ บรรดาเภสัชกรกำลังเผชิญหน้ากับเรื่องเศร้าโดยทั่วหน้า ด้านหนึ่ง ร้ายขายของชำมีข้าวของขายให้ผู้คนสาธารณะได้มากขึ้นและถูกลงด้วย อีกด้านหนึ่งพวกเขาก็ถูกเบือดขนาบด้วยโรงงานเคมีซึ่งผลิตผลิตภัณฑ์ได้หลากหลายและเป็นจำนวนมากในแต่ละครั้งแต่เดิมการผลิตยาถูกปรุงขึ้นในห้องปฎิบัติการ(ห้องปรุงยา)ในร้านยาของเภสัชกร นี่ม้นเป็นการฉีกแยกจากร้านยาออกไป ทำให้พวกเขาลืมเตรียมปรุงยาและหลายสิ่งในตำรับที่เป็นองค์ความรู้มหัศจรรย์ ในที่สุดพวกเขาต้องขึ้นอยู่กับอุตสาหกรรมเคมีด้วย
 ยุคก่อนอุตสาหกรรมยาขนาดใหญ่
        วัตถุประสงค์ของเภสัชอุตสาหกรรมก็คือผลิตยาห้ได้มากๆในแต่ละขนาดการผลิต(Batch Size)ไม่ เหมือนการปรุงยา ผลิตโดยเภสัชกรจากสต็อตของตัวเองที่เตรียมไว้ ง่ายต่อการจ่ายให้คนไข้เมื่อเขาต้องการ  การผลิตเป็นจำนวนมากที่เรียกว่า Mass Production นี่หมายความว่าการผลิตและการจ่ายยาแยกกระทำ กันแต่ละแห่งแต่ละสถานที่ การจัดส่งยาโดยผู้ผลิตมายังผู้สั่งใช้ กลายเป็นลักษณะและการผูกขาดของยุค เภสัชอุตสาหกรรมไปด้วย แม้ว่าเภสัชกรจะสูญเสียอัตลักษณ์และการผูกขาดในการปรุงยาเองแต่ก็มีข้อ คำนึงว่า สต๊อตยานั้นก็ได้ถูกเตรียมมาก่อนที่จะมีขบวนการอุตสาหกรรม แต่การผลิตที่มีจำนวนมากและผู้ไ ได้รับอนุญาตสามารถส่งกระจายไปตามอุปสงค์ของเภสัชกรอื่นๆ
     Hermann Schelenz (1848-1922) บิดาแห่งเอกสารประวัติศาสตร์วงการเภสัชกรรมของเยอร์มัน
ได้อธิบายการผลิตกึ่งอุตสาหกรรม (The quasi-industrial)  วัตถถุดิบเคมีที่ใช้ทำยาต่างๆอย่างเช่น Sal ammoniac, mercury chloride and borax และ venetian theriac ในศตวรรษ.ที่!4 และเขากล่าวถึงโรงงานอุตสาหกรรมเภสัชแห่งหนึ่งซึ่งพื้นที่ส่วนใหญ่อยู่ในอาณาเขตวัด  พวกพ่อค้ายาขี้ผึ้งผู้ได้รับสิทธิในรัฐThuringia(รัฐแห่งหนึ่งในภาคกลางของเยอร์มันนีสมัยก่อน)ตั้งแต่ศตวรรษที่16 อย่างไรก็ดีพ่อค้าต้องถูกพิจารณายอมรับเป็นกรณีไปเพราะว่าสินค้าของเขาถูกผลิตโดยบุคคลทั่วไป ผู้ค้าและนำส่งขี้ผึ้งยา(balsam)ขนส่งสินค้าไปตามที่ต่างๆถูกมองอย่างเยืยดๆจากเจ้าของร้านยาในฐานะคู่แข่งผู้ขายตัดราคา
   การผลิตในสเกลขนาดใหญ่เชิงอุตสาหกรรมโดยมีการจัดการขายที่ปัจจุบันเรียกว่าทำการตลาดนั้น ได้ถูกบันทึกขึ้นที่ The Orphanage in Halle (สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าแห่งเมือง ฮาลลี)  August Hermann Francke(1663-1727)ศาสตรจาร์ยวิชาเทววิทยา ได้เริ่มก่อตั้ง The Orphanage in Halle ในปีค.ศ.1692 ซึ่งภายหลังได้รับหนังสือรับรอง สถานเลี้ยงเด็กเด็กกำพร้าแห่งนี้จำต้องหารายได้เอง จากการเป็นโรงพิมพ์, ร้านขายหนังสือ ,ร้ายขายยาในตัวเองด้วย ในปีค.ศ.1700 สถานเลี้ยงเด็กฯสามารถทำสูตรปรุงยาที่เป็นมาตราฐานหลายสูตร เริ่มมีห้องทดลองลับๆสำหรับผลิตยาและปรับปรุงสูตรต่อไป ได้คิดค้นระบบกระจายยาจัดส่งเภสัชผลิตภัณฑ์ ขายไปในหลายเมืองทั้งภายในเยอรมันนีและต่างประเทศ การจัดจำหน่ายกระจายยาถูกส่งเสริมโดยการประชาสัมพันธ์และส่งเสริมการขาย มีการตั้งสาขาย่อยเพื่อหนุนการจำหน่ายในเมืองต่างๆ27เมือง ผลิตภัณฑ์ที่ส่งจำหน่ายผ่านร้านยาหลายๆแห่ง
   ระบบกระจายยาบริหารโดยนายแพทย์หรือเภสัชกรผู้มีประสบการ์ณ ท่านเหล่านี้มีผู้หนึ่งเป็นศาสตร์จาร์ยชื่อ Georg Heinrich Stoltze(1784-1826) เป็นผู้บริหารผู้หนึ่งของ Orphanage Pharmacy (ตอนนั้นกลายสภาพจากสถานเลี้ยงเด็กแล้ว)มีการปิดผลึกผลิตภัณฑ์ Halle ware ป้องกันการลอกเลียนแบบจากผู้ค้าที่ไม่ไดรับอนุญาติจากThuringia ออกเอกสารกำกับผลิตภัณฑ์จนถึงปีค.ศ.1790  The Orphanage ได้ดำเนินการขายผลิตภัณฑ์เภสัชเพียงอย่างเดียวและดำเนินการผลิตต่อเนื่องไปจนถึงปี ค.ศ.1951
  เภสัชกรในฐานะผู้ก่อตั้งโรงงานเคมี
     ตอนต้นศตวรรษที่18 เภสัชกรหลายท่านให้ความสนใจฉงนสิ่งต่างๆคำถามเชิงวิทยาศาสตร์ พวกเขาสนใจพฤษศาสตร์ แร่วิทยา เทคโนโลยี่ และศาสตร์ต่างๆทางวิทยาศาสตร์โดยเฉพาะเคมี พวกเขามีห้องทดลองพร้อมเครื่องมือที่พร้อมอยู่แล้วเหมาะสมเพียงพอที่จะศึกษาค้นคว้าและการที่ได้ความรู้จากการปฏิบัติอีกทั้งมีข้อมูลประวัติในอดีตการขับเคลื่อนวิชาเคมีจึงเป็นเรื่องง่าย การเจริญรุ่งเรืองเคมีในเวลานั้นประกอบกับที่จะสร้างชื่อในการศึกษาวิทยาศาสตร์เป็นแรงจูงใจกับเภสัชกรหลายคนไม่เพียงเป็นผู้เริ่มแรกที่ละเล็กที่ละน้อยแต่พวกเขามุ่งหวังสู่ความเป็นผู้ชำนาญในสรรพสิ่งเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์
     เภสัชการบางท่านมีส่วนร่วมในการถกเถียงทฤษฏีใหม่ๆ อย่างเรื่องที่เปิดขึ้นมาโดย Antoine Laurent Lavoisier (1743-1794) ไม่ก็เป็นผู้บุกเบิกในการพัฒนาแตกแขนงวิชาออกไปด้วยตำรับตำราสมุดบันทึกวิชาเคมี พวกเขามักจะเข้าหาคำถามเชิงวิทยาศาสตร์ทำให้เป็นประโยชน์ต่อสังคม อย่างเช่นการตรวจสอบแร่ธาตุหรือพันธุพืชเพื่อหาว่ามันสามารถนำมาผลิตเป็นยาในเชิงพาณิชย์ได้หรือไม่นับเป็นการกระจายสาขาไปสู่การปฏิวัติเติบโตวิชาชืพเภสัชกร และเภสัชกรยังคงได้ประโยชน์จากเริ่มเปลื่ยนแปลงนี้ตราบเท่าปัจจุบัน
    จำนวนเภสัชกรจะถูกจำกัดกำหนดโดยรัฐและด้วยผลจากความมุ่งมั่นในด้านวิทยาศาสตร์ไม่ใช่เพียงเงินพอที่จะซื้อร้ายยาเป็นเจ้าของ พวกเขาเป็นกลุ่มวิชาชืพทวิทยาศาสตร์ซึ่งเป็นประโยชน์ต่ออุตสาหกรรมเคมี มันเหลือเชื่อเลยว่า บริษัทเคมีหลายแห่งก็ถูกก่อกำเนิดตั้งขึ้นโดยเภสัชกร
    หนึ่งในเภสัชกรที่มาเกี่ยวข้องวงการผลิตเคมีภัณฑ์คือ Wolfgang Casper Fikertscher(1784-1826) หลังงปีค.ศ.1788 เขาเริ่มผลิตสารเคมี อย่างเช่น สารประกอบปรอท,Glauber salt กรดซัลฟรูริคและกรดเกลือ,cinnabar,โซดาและchloride of lime ในหมู่บ้าน Marktredwitz ตอนเหนือเขตFranconia ต่อมากลายเป็นศูนย์ห้องทดลองปฏิบัติการทันสมัยในยุคนั้น ปีค.ศ.1792 ห้าปีต่อมา Fikertscher ยื่นขออนุญาตขยายการผลิต เมอร์คิวรี่ผสมเกลือ,โซดาเข็มข้นที่ใช่ทำแก้ว,ผลึกทาทาร์ริก กิจการได้เจริญเติบโตมียอดขายสูงขึ้น เมื่อเขาเสียชีวิตบุตรชายเป็นผู้ดำเนินการต่อ มีผู้ร่วมทุนคนอื่นด้วยแต่ในที่สุดก็ต้องปิดกิจการลงในปีค.ศ.1986  ยังมีเภสัชกรอื่นอีกหลายท่านที่เป็นผู้ริเริ่ม่อตั้งโรงงานเคมี ขอกล่าวสรุปย่อดังนี้
Johann Gottfrid Dingler(1778-1855) ในปีค.ศ. 1803 เขาได้ลงโฆษณาว่า มีสารเคมี 11รายการที่เขาเป็นผู้ผลิต เช่น กรดไนตริก,กรดไฮโดรคลอริกและเกลือดีบุก สามปีต่อมาเขาและเพื่อนจัดตั้งโรงงานชื่อ ‘Dingler s’Anold มีเคมีภัณฑ์กว่า200ชนิด ปีค.ศ.1822เขาได้ผนวกงานของโรงพิมพ์ที่ล้มละลายมาผลิตสารเคมีทำสีย้อม สีพิมพ์ผ้าหลายชนิด ปีค.ศ.1830 นำเครื่องจักรไอน้ำมาใช้นำเครื่องมือที่ใช้แก๊สGas-illumination อย่างไรก็ดีเขาถูกฟ้องลมละลายในปีค.ศ.1843







Johann Bartholomaus Trommsdorff ผลิตเคมีภัณฑ์ ยาเตรียมในเมือง Erfurtโดยใช้พนักงานลูกศิษย์นักศึกษาของเขา ปีค.ศ.1812 เขาเริ่มก่อตั้งโรงงานเคมีในเขตเหมืองแร่แคว้นแซโซนี่Saxony มีการร่วมทุนกับเจ้าของที่ดินตั้งโรงงานวางแผนผลิตสารประกอบจากผลิตภัณฑ์ของเสียสารที่เหลือจากการทำเหมืองแร่ ผลิตภัณฑ์บางชนิดเขาเป็นผู้คิดค้นตั้งแต่แรก อย่างเช่น สบู่โซดา,ฟอสฟอริกโซดา,ดีบุกไฮโดรคลอเรต,เกลือแอมโมนิก,กรดอะเซติกและ น้ำเชื่อมที่ทำจากข้าวสาลี
Karl Samuel Leberecht Hermann ผู้ริเริ่มให้ก่อสร้างโรงงานเคมี Royal Prussia สร้างในปีค.ศ.1797 ที่เมือง Schonebeck บนฝั่งแม่น้ำElbe ผลิตโดยใช้ของเสียจากการทำเหมืองเกลือผลิตได้15รายการ  ปีค.ศ.1807 โรงงานก็ตกเป็นของรัฐ Prussian Government
Johann Gerhard Reinhard Andrae เปิดโรงงานสกัดโปตัสเซียมไนเตรทในเมือง Hanover
Johann Georg Pickel เปิดโรงงานเคมีในเมือง Schderauใกล้กับWurzburg ในปีค.ศ.1784
Bernhard Friedrich Balz เปิดโรงงานเคมีที่เมือง Lauffen   ริมฝั่งแม่น้ำ Neckarปีค.ศ.1799
--แน่ละ ในบางกรณี โรงงานเคมีก่อตั้งขึ้นโดยผู้มีวิชาซืพอื่น นักธุรกิจ เจ้าของเหมือง อย่างไรก็ตามจุดกำเนิดประวัติอุตสาหกรรมเคมี ถูกขัดเกลาเพิ่มขนาดโดยเภสัชกรและมันได้ส่งผลดีกลับมายังวงการเภสัชกรรมด้วยในเวลาต่อมา
การค้นพบอัลคาลอยด์
ค้นพบโดย Serturner ผู้ช่วยเภสัชกรร้านยาของราชสำนักแห่ง Paderborn  ในปีค.ศ.1804 เขาสังเกตุว่า แม้จะเตรียมยาอย่างระมัดระวังที่สุดตามกฏสูตรศิลปแห่งการปรุงยาก็ตาม  ความแรงของสารละลายมฝิ่นซึ่งในสมัยนั้นใช้เป็นยาทำให้นอนหลับ เปลื่ยนแปลงอยู่เสมอ  จากการศึกษาผลงานของ Carl Wilhelm Scheeles(1742-1786)ผู้ที่ทำการแยกกรดอินทรีย์หลายชนิดออกจากพืชชนิดต่างๆ เขาคิดว่าสารออกฤทธิ์ที่ทำให้หลับจะต้องเป็นกรดตัวใดตัวหนึ่ง ตอนแรกเขาให้ชื่อว่า meconic acidกับสารที่เขาแยกออกมาจากฝิ่น Serturner ได้นำไปทดลองกับสัตว์เพื่อแสดงว่าmeconic acid ไม่ใช่เหตุผลสำหรับการออกฤทธิ์ของฝิ่น จากการทดลอง57ครั้ง ได้ตีพิมพ์การค้นพบ อัลคาลอยด์ตัวแรกและให้ชื่อว่า Morphium ให้ชื่อตามMorpheus เทพเจ้าแห่งการหลับ เขาได้แสดงผลทดลองทำให้หลับกับสุนัข ผลงานเอกสารของเขาเรื่อง ‘ Morphine, a new salt forming base and meconic acid the main components of opium เป็นต้นแบบคลาสสิกของงานทดลองการแยกสารออกฤทธิ์ทางยา และได้วางรากฐานในการค้นคว้าวิจัยไปยังอัลคาลอยด์อีกด้วย ภายหลังปีค.ศ.1817 นักวิทยาศาสตร์ เภสัชกรได้มีการค้นพบสารสำคัญตัวอื่นๆในพืชชนิดต่างๆ เช่น narcotine,codeine,emetine, strychnine and veratrine,brucine,quinine, cinchonine
เภสัชกรเยอร์มันผู้เกี่ยวข้องกับอัลคาลอยด์ได้แก่ Carl Friedrich Wilhelm Meissner ผู้ร่วมค้นพบ veratrine
Friedlieb Ferdinand Runge ผู้แยกQuinine,Caffeine  และHeinrich
Friedrich Gorg Mein ค้นพบ Atropine ในปีค.ศ.1831
 การรเริ่มผลิตอัลคาลอยด์แบบอุตสาหกรรม
     อัลคาลอยด์เป็นสารอินทรีย์ที่มีธาตุไนโตรเจนอยู่ภายในโมเลกุลพบมากในพืชชั้นสูงตามส่วนต่างๆ มันมีคุณสมบัติเป็นด่งมากกว่าเป็นกลางหรือกรดเยอร์มันนีชี้ชัดว่ามันไม่คลุ้มค่าทางเศรษฐกิจที่จะผลิตอัลคาลอยด์จากร้านยามันถูกสนองความต้องการตลาดโดยอุตสาหกรรมจากฝรั่งเศลก่อนและจากโรงงานภายในประเทศ ฝรั่งเศลในทางตรงกันข้ามกับเยอร์มันนี ได้ค้นพบการผลิตอัลคาลอยด์แบบอุตสาหกรรมผลิตในสเกลขนาดใหญ่ ผู้ดำเนินการได้แก่ Robiquet และPelletier เปิดโรงงานผลิตควินนินในกรุงปารีส ณ.ปีค.ศ.1826 นายแพทย์ชาวฝรั่งเศลชื่อ Francois Magendie(1783-1855) ศึกษาอัลคาลอยด์อย่างเป็นระบบ ได้แก่Quinine  Morphine และ Strychnine   ในเยอร์มันนี อัลคาลอยด์ชนิดแรกที่ถูกบรรจุเข้าเภสัชตำรับแห่งชาติในปีค.ศ.1820 Hamburg PharmacopeiaและBorussian Pharmacopeiaด้วย  เภสัชกรFriedrich Ludwig Koch()1785-1865)ได้รับการยกย่องว่าเป็นชาวเยอร์มันผู้บุกเบิกผลิตอัลคาลอยด์ หลังปีค.ศ.1823แม่น้ำไรน์มีโคลนตมเพิ่มมากขึ้นจึงเกิดโรคมาลาเรียระบาด ได้กระตุ้นให้ Koch ผลิตควินนิน โรงงานของเขาอยู่ได้ถึงปี1888 เพราะไม่ได้ตามข้อกำหนดเรื่องความสอาดที่เข้มงวดเกิน แต่ก็ยังมีบริษัทอื่นๆที่ผลิตอัลคาลอยด์ในเชิงอุตสาหกรรม ในปี1827 Johann Daniel Riedel(1786-1843)เจ้าของร้านยา Black Eagle Swiss Pharmacyในกรุงเบอร์ลิน เริ่มผลิตควินนินปรามาณมาก ขายในราคาถูกลงทำให้ธุรกิจไม่ประสบความสำเร็จ อย่างไรก็ตามอุตสาหกรรมการผลิตอัลคาลอยด์ยังคงดำเนินการต่อไป สารอัลคาลอยด์ที่ผลิตตามมาได้แก่ morphine ,strychnine ,piperine ,picrotoxin.แสดงให้เห็นการพัฒนาที่ประสบความสำเร็จหลายทศวรรษของบริษัท Riedel

     Heinrich Emanuel Merck(1794-1855)เปิดร้านยา Angel Pharmacy ที่ Darm Stadt ที่นั้นเขาผลิตอัลคาลอยด์ ปีค.ศ.1824 เขาเริ่มต้นด้วย morphine  ปีค.ศ.1827เพิ่มการผลิต narcotine , quinine , piperine, emetine ,strychnine และ brucine  เขาป็นลูกศิษย์ของTremmsdoff และ Sigismund Friedrich Hermbstaedt , Merck ผลิตเวชภัณฑ์ทุกอย่างจากห้องปฏิบัติการใน Angel Pharmacyจวบจนถึงปีค.ศ. 1842  บริษัท Merck ถือเป็นต้นแบบของโรงงานยาที่พัฒนามาจากร้านยาที่ดำเนินการวิจัยไปด้วย  บริษัทได้สร้างกระแสธรรมเนียมปฏิบัติให้เภสัชกรทำการวิจัยค้นคว้าไปด้วย  Georg Merck ลุชายของ Heinrich Emanuel Merck ค้นพบอัลคาลอยด์ของฝิ่นอีกชนิดคือ papaverine ในปีค.ศ.1848
Hermann Trommsdorff(1811-1884)ก็ได้ฝึกหัดที่ Merck สอนของพ่อเขาที่ว่า สักวันนึ่งเภสัชกรไม่อาจใช้วิถีวิชาชืพของตนเองโดยลำพังสนองธุรกิจได้ ทำให้เขาสนใจทุกสิ่งที่เป็นประโยชน์ที่สามารถวมหว่างกิจการโรงงานและใบสั่งยาได้ Trommsdorff เริ่มการสร้างโรงงานผลิตเภสัชสารขนาดใหญ่ในเมือง Erfurt ในปีค.ศ.1837 ผลิตอัลคาลอยด์จำนวนมากหลายรายการ ถือว่าเขาเป็นผู้ก่อตั้งโรงงานเภสัชกรรม


โรงงานเคมี แหล่งผลิตยา
    โรงงานเคมีบางแห่งก่อตั้งในศตวรรษที่19 เริ่มดำเนินการเคียงข้างไปกับการผลิตยา  Ernst Friedrich Christian Schering (1824-1889) ได้ซื้อกิจการ้านยาใน Chaussee Strasseที่กรุงเบอร์ลิน ในปี1851 เขาเรียกมันว่า Green Pharmacy  เขาต้องหารายได้ ในเวลานั้นศาสตร์และศิลปเกี่ยวกับการถ่ายภาพกำลังเป็นที่นิยม เคมีภัณฑ์ที่จำเป็นสำหรับการถ่ายภาพนำเข้ามาจากประเทศฝรั่งเศล  Schering ตัดสินใจที่จะผลิตมันด้วยตนเองเขาผลิตสารเคมีต่างๆในมาตราฐานตามเภสัชกรรมคุณภาพสูงกว่าผู้ผลิตรายอื่น นั้นเป็นเพราะว่าเขามีพื้นฐานทางเภสัชศาสตร์ นี่เป็นเหตุผลที่ทำให้เขาประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็วในปี1855 โรงงานผลิตสารเคมีและเภสัชภัณฑ์ได้อวดแสดงในงานนิทรรศการโลก ผลิตภัณฑ์ของ Schering ได้รับการตอบรับอย่างกว้างขวาง ปี1864 เขาได้สร้างเขาได้สร้างโรงงานแห่งใหม่ในเขตกรุงเบอร์ลิน ในเบื้องแรกเภสัชภัณฑ์ของเขามีจำนวนมากกว่าสารเคมีภัณฑ์พอปลายศตวรรษที่ 19 ก็พัฒนาเปลื่ยนเป็นยาสังเคราะห์จากสารอินทรีย์
   ยาสังเคราะห์เป็นผลพวงจากการพัฒนาเตรียมสารอินทรีย์เคมี สารบางชนิดผลิตจากห้องปฏิบัติการเคมี  อย่างเช่น คลอโรฟอร์ม,คลอรัลไฮเดรท และกรด ซาลิกไซลิก chloroform ,chloral  hydrate ,Salicylic acid ซึ่งครั้งหนึ่งสารเหล่านี้ถูกใช้ในการทดลองทางเภสัชศาสตร์กลับนำมาใช้เป็นยา
   การให้ความสนใจในคุณสมบัติทางเคมีและโครงสร้างของอัลคาลอยด์เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดความก้าวหน้าในการสังเคาระห์ตัวยา เริ่มด้วยการสังเคราะห์อัลคาลอยด์  ปีค.ศ.1886 Albert Ladenburg(1842-1911) สังเคราะห์ conine ส่วน arecoline and arecaidine สังเคราะห์ในปีค.ศ.1893 โดย Ernst Friedrich fahns(1844-1897)
   เมื่อโครงสร้างทางเคมีของอัลคาลอยด์ได้เข้าใจกันทั่วแล้ว นักวิทยาศาสตร์หลายท่านจึงให้ความสนใจในการผลิตสารเคมีที่สัมพันธ์กับโครงสร้างนั้นและทำให้มันมีประสิทธิภาพสูงกว่า Ludwig Knorr(1859-1921)ค้นพบสารประกอบชนิดใหม่ออกฤทธิ์เป็นยาแก้ปวดแก้ไข้จากความรู้ทางโครงสร้างเคมีของควินนิน
     ศาสตร์แห่งการสังเคราะห์ยาให้ประโยชน์อย่างไม่มีสิ้นสุดจากสีย้อมเคมี พัฒนาเป็น Sulfonamidesที่ใช้เป็นยาฆ่าเชื้อโรคและเป็นยาทางเคมีบำบัดชนิดหนึ่ง   มันยากที่จะประหลาดใจ ที่การผลิตถ่านหิน สีจากถ่านหินนำมาสู่การผลิตยาได้ด้วย โรงงานเคมีหลายแห่งไม่ได้ถูกก่อตั้งโดยเภสัชกรไม่ได้ถูกพัฒนาทางเภสัชกรรม ยกเว้นแห่งหนึ่งโรงงานของ Dr.Carl Leverkus’s บนฝั่งแม่น้ำไรน์ ถือเป็นส่วนหลักของอุตสาหกรรมยา  Meister Lucius&Bruning(ปัจจุบันคือHoechst )   Friedrich Bayer&Co(Bayer)ก่อตั้งในปี 1863;Ciba and Sandoz ก่อตั้งที่Basel  ปี1859 และปี1886ตามลำดับโดยเริ่มจากโรงงานสีพัฒนาเป็นผู้ผลิตยา  Hoffmann-La Roche บริษัทก่อตั้งปี 1896โดยบุคคลอาชีพอื่นแต่ก็ประสบความสำเร็จก่อตั้งในBasel ผลิตเคมีภัณฑ์และยา  

อุตสาหกรรมที่ผลิตยาสูตรเฉพาะ
       คำว่าเภสัชอุตสาหกรรม Pharmaceutical Industry โดยปกติเราหมายถึง บริษัทต่างๆที่ดำเนินกิจกรรมสนอง ยาเวชภัณฑ์ที่พร้อมใช้ทางแพทย์ทันที  ดังที่กล่าวมาแล้ว ในยุคต้นๆโรงงานเภสัชกรรมเริ่มผลิตเพียงแต่สารออกฤทธิ์ส่งให้เภสัชกรเพื่อไปปรุงยาตามสูตรตำรับสนองแก่คนไข้ แต่ถ้าผลิตในปริมาณมากจะทำยาที่มีคุณภาพสูงนั้นดูเหมือนเกือบจะเป็นไปไม่ได้ ในวงการเภสัชกรรมแบบนั้นและต้องจัดหายาที่ราคาถูกกว่าที่เภสัชกรเตรียมปรุงยาเอง เภสัชกรส่วนมากจึงนิยมซื้อหาสารออกฤทธิ์ยาจากโรงงาน
      มันไม่ง่ายนักที่การผลิตยาเตรียมตำรับพร้อมใช้ เภสัชกรมองเห็นความพยายามภาคอุตสาหกรรมในทิศทางที่ล่วงล้ำหน้าที่วิชาชืพของตน บางกรณีก็เกิดการขัดข้างขึ้น
     เภสัชกรเป็นบุคคลผู้เริ่มแรกผลิต ผลิตภัณฑ์กึ่งสำเร็จใช้งานในปริมาณมากราคูกและต้องมีคุณภาพมาตราฐาน เครื่องมือซึ่งเดิมมีการเปลื่ยนแปลงน้อยมากถูกออกแบบอย่างเฉพาะเจาะจงให้ได้ตามความต้องการเภสัชกรรม มันถูกแทนที่ทันทีอย่างรวดเร็ว ด้วยเครื่องจักรที่ทรงอำนาจ ด้วยระบบดและกรองถูกนำมาใช้ในขบวนการยา,เวชภัณฑ์ที่มีอัลคาลอยด์เป็นโครงสร้างพื้นฐาน ถูกบดย่อยจากเครื่องจักรพลังไอน้ำ ดังกรณีที่เห็นได้ของโรงงานMerk
    บางโรงงานรวมตัวกับบริษัทที่ดำเนินการผลิตยาที่อยู่ในรูปพร้อมใช้ ผลิตปริมาณมาก โดยปรับเปลื่ยนมาจากร้านยา ตัวอย่างเช่น Kael Engelhard(1836-1924)ในFrankfurt am Main เขารับช่วงต่อจากบิดาของเขาร้านขายยา Rose Pharmacy ที่ผลิตยาแก้ไอ,ยาถ่าย ผลิตจำนวนมากสเกลการผลิตขนาดใหญ่ Engelhardศึกษาอย่างหนักถึงการผลิต pills,dragees,pastilles,capsules            และ tablets เขาสร้างระบบรางตอกบรรจุยาเม็ดด้วยมือ เครื่องมือนี้ต่อมาถูกใช้แพร่หลาย ยอดขายที่เติบโตส่งเสริมให้เขาขยายโรงงานในปี ค.ศ.1894 เขาสร้างโรงงานแห่งใหม่ใน Bornheim เขตFrankfurtเครื่องจักรใช้ขับเคลื่อนด้วยพลังไอน้ำกำลังขนาด 180bph(boiler horsepower) มีคนงาน120คนผู้บริหารอีก10 คน
      เภสัชกรชื่อ Eugen Dleterich(1840-1904) เขาเป็นผู้ก่อตั้งโรงงานผลิตยาสูตรสำคัญๆในปี 1869 เขาได้นำโรงโม่ทำกระดาษขนาดย่อมในHelfenberg ใกล้เมืองDresden เปลื่ยนมันเป็นโรงงานเคมีในสองปีแรก อย่างไรก็ตามเขาก็ยังคงผลิตยาตามสูตรตำรับโดยเฉพาะพวกพลาสเตอร์เขาใช้เครื่องจักรกำลังหนึ่งแรงม้า(1hp)ขับเครื่องแผ่พลาสเตอร์เมื่อหลายปีผ่านไปผลิตภัณฑ์เขาขยายคลอบคลุมยูปแบบอื่นเช่น elixir,ointment,cerates,tincture และfortified wines(ไวน์องุ่นดีกรีแรงมีแอลกอฮอล์ถึง 16-23%)จุดประสงค์ของ Dleterich คืดการผลิตยาเภสัชภัณฑ์ที่เป็นสูตรตำรับทีมีคุณภาพให้ได้ปริมาณคราวละมากๆและเขาตระหนักว่าต้องสร้างใช้เครื่องจักรช่วยในการผลิต ขบวนการผลิตก็ต้องพัฒนาได้รับการปรับปรุง เขารู้ดีว่าการประกอบสูตรยาต้องตั้งอยู่บนหลักพื้นฐานวิทยาศาสตร์ เพื่อให้ได้พบข้อกำหนดทางอุตสาหกรรม Dleterich ได้พัฒนาขบวนการผลิตวัตถุดิบและการเตรียมยาจำนวนมากแบบอุตสาหกรรม เขาตีพิมพ์เอกสารวิธีขบวนการของเขาในปีค.ศ.1886 และเขียนหนังสือว่าด้วยพื้นฐาน คำแนะนำพื้นฐานจากการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ล่าสุด เนื้อหาไม่เฉพาะครอบคลุมถึงการผลิตเท่านั้นแต่รวมถึงการผลิตในแง่เภสัชกรรมด้วยผลิตเป็นสต๊อคยาเตรียมในปริมาณที่เพิ่มขึ้น ยาเฉพาะโรคอาการ นี่ทำให้คู่แข่งเขาเริ่มดำเนินตาม นับเป็นการเริ่มยุคใหม่ของเภสัชกรรม
       การเปิดตัวรูปแบบยาชนิดใหม่ อย่าง ยาเม็ดก่อเกิดการปฏิวัติที่ยิ่งใหญ่ในวงการวิชาชืพเภสัชกรรมเท่าที่ผ่านมา  ยาเม็ดถูกคิดค้นโดยชาวอังกฤษ ชื่อ William Brockedon(1787-1854ในปี 1843 ได้จดสิทธิบัตรในสิ่งที่เขาเรียกว่า ‘Shaping pills’ ยาใหม่นี้ผลิตจากโซดา,เกลือโซเดียมคลอไรด์และโปตัสเซียมคลอไรค์ต่อมารู้จักกันในนามว่า ‘compress pills’   ในปีค.ศ.1862 คำว่า tablet ถูกใช้กับผลิตภัณฑ์ประดิษฐของ William Brockedon แม้ว่าในความจริงมันถูกใช้อธิบายยารูปแบบpastilles  มาแล้วในปี1883 บริษัทในลอนดอลที่ชื่อ Burroughs Wellcome Co จดศัพท์’Tablet’เพื่อใช้ในเชิงพาณิชย์ ชื่อถูกคิดว่าเป็นศัพท์เพ้อฝันใช้เพื่อป้องกัน ใช้เพื่ออธิบายรูปแบบวัตถุกลมผื้นผิวโค้งสองด้าน หนึ่งปีต่อมานาย Henry S.Wellcomeได้ยื่นจดสิทธิเครื่องหมายการค้าของคำว่า ‘Tablod’ โดยนาย Henry S.Wellcome(1853-1936)นำคำนี้มาจาก ,’Tablet’  และ  ‘alkaloid’เพื่อมาใช้กับยากลุ่มที่มีประสิทธิภาพสูง มีความเข็มข้นของตัวยามาก  Brockedonนำเทคโนโลยี่ของเขาเพื่อใช้ผลิตภัณฑ์เภสัชแบบอื่นๆ อย่างเช่น roofoties, clay product and Briquettes (ยารูปกลมๆเล็กๆที่คล้ายกระเบื้องเคลือบมุงหลังคา) สิทธิบัตรหลายฉบับได้รับรางวัลในปีค.ศ. 1799และค.ศ.1830 สำหรับวิธีทำยาถ่านหินก้อนกลมๆ  การผลิตยาเม็ด ถูกนำมาที่เยอรนนี ในปีค.ศ.1874โดย Isidor Rosenthal(1836-1915)
       ยาบรรจุหลอดฉีด(Ampule) เป็นอีกประเภทหนึ่งที่ถูกผลิตขึ้นพัฒนาโดยเภสัชกรสองท่าน ที่ต่างคนต่างทำ ในปี1886 คือ Stanislas Limousin(1831-1887)ในปารีส และด๊อกเตอร์ Fried lander ในเบอร์ลิน พวกเขาบรรจุสารละลายปราศจากเชื้อลงในหม้อรูปกระดิ่งที่ป้องกันเชี้อทีฝาปิด
     ทั้งยาเม็ดและรูปแบบผลิตภัณฑฑ์อื่นอย่าง เจลาติน แป้งแค๊ปซูล,ยาเม็ดเคลือบน้ำตาล(dragces)และยาบรรจุหลอดฉีด สามารถถูกผลิตขึ้นได้ดีปริมาณมากๆเชิงอุตสาหกรรม   แม้ว่าจะมีการต่อต้านจากเภสัชกรบ้างแต่ก็ไม่มีการหยุดผลิตยาแบบอุตสาหกรรม  ในปีค.ศ.1894 มีการประท้วงเรียกร้อง ในเมื่อกฏหมายบังคับใช้เครื่องหมายการค้ามีผลบังคับใช้ เภสัชกรถูกกำหนดให้จ่ายยาเฉพาะตามใบสั่งแพทย์ ถ้ายานั้นผลิตมาจากฉพาะบริษัทที่ที่รัฐขึ้นชื่อไว้ ยาเม็ดถูกประกาศขึ้นใช้ในปีค.ศ.1898 มีเภสัชกรเป็นจำนวนมากที่เป็นเจ้าของร้านขายยาพยายามแย้งว่า ยาเม็ดที่ผลิตมาจากโรงงานนั้น ไม่สามารถตรวจสอบได้ ไม่สามารถประกันคุณภาพ มันควรและจำเป็นที่ถูกเก็บสต๊อคโดยเภสัชกรมากกว่า
    แม้นว่าการผลิตเชิงอุตสาหกรรมมีความสำคัญมาก กฏหมายยาเม็ดมีผลมา12ปีเท่านั้น พวกกองทุนประกันสุขภาพ เพิ่มความต้องการใช้ยา เภสัชกรก็ไม่มีทางเลือก  การผลิตยาเวชภัณฑ์แบบุตสาหกรรมเจริญยิ่งขึ้นส่วนการผลิตยาตามใบสั่งก็แยกกัไปแต่ละที่ซึ่งมีน้อยรายที่ผลิตให้เฉพาะ
      อุตสาหกรรมเภสัชได้เปลื่ยนงานรูปแบบอัตลักษณ์ทางเภสัชกรรมหน้าที่ของเภสัชกร ในฐานะผู้ปรุงยาได้ถูกแทนที่แล้วในปัจจุบัน โดยเปลื่ยนเป็นผู้ให้ข้อแนะนำ ข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องยา มหาวิทยาลัยที่สอนภาคเภสัชกรรม ปรับเปลื่ยนบทบาทใหม่ของเภสัชกร ให้เป็นผู้ค้นคว้ามุ่งเสาะหาเพิ่มสารที่จะนำมาทำตัวยาให้มากขึ้น
   ปัจจุบันอุตสาหกรรมเภสัชไม่เพียงต่ให้ความสำคัญแค่การผลิต การผลิตไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุด แต่การแสวงหาแหล่งที่จะได้มาซึ่งตัวยาและการวิจัยก็สำคัญเหมือนกันย แนวโน้มนี่เริ่มจากการบริษัทยาหลายแห่งได้ถูกตั้งขึ้น ทั้งยาใหม่และรูปแบบยาใหม่ๆได้ถูกพัฒนาขึ้นอย่างกว้างขวางมันเป็นผลของความพยายามวงการอุตสาหกรรมเภสัช
     บริษัทยาส่วนมากประกอบไปด้วยเภสัชกรที่เป็นทั้งผู้ก่อตั้งและเป็นผู้ทำงานอยู่ในบริษัท ทั้งภาคผลิต ควบคุมคุณภาพ จดทะเบียนยา ค้นคว้าวิจัยและพัฒนา แสดงให้เห็นว่า เภสัชอุตสาหกรรมของเยอร์มันนีและเภสัชกรเยอร์มันนี ให้คุณซึ่งกันและกัน(เกื้อหนุนซึ่งกันละกัน) ดังที่ Georg Urdang ได้กล่าวไว้ในปีค.ศ.1931 วงการอุตสาหกรรมได้ให้อะไรอย่างมากต่อวงการเภสัชกรรม ในทางกลับกันเภสัชกรรมก็ถือเป็นเซลกำเนิดของวงการอุตสาหกรรม ให้บุคคลากรที่ดี เภสัชกรได้สร้างกระแสเคลื่อนไหวจากปร้อมปราการการผลิตขนาดมหาศาลกระโจนสู่พลังแห่งความคิด เภสัชกรรมเป็นบ้านและที่อยู่อาณาบริเวณของทั้งเภสัชกรรมและอุตสาหกรรม
----------------------------------------

แปลและเรียบเรียงจาก...The Pharmacy / Windows on History Editiones Roche, Basel, Switzerland

ไม่มีความคิดเห็น: