ความวิตกกังวลเกินผิดปกติ
รวมถึงความวิตกกังวลทั่วๆไป,จิตผิดปกติที่ถูกครอบงำเชิงบังคับให้ย้ำคิดย้ำทำ(Obsessive
Compulsive disorder),อาการตื่นตระหนกกลัว(Panic disorder),โรคหวาดระแวงสังคม(Social Anxiety)
และภาวะเครียดหลังได้รับบาดเจ็บ(Posttraumatic stress disorder) เหล่านี้ที่เกิดขึ้นเป็นความป่วยที่เกิดกับประชากรชาวอเมริการาว 40ล้านคนและไม่เพียงแต่ผู้ใหญ่เท่านั้นยังเกิดกับเด็ก
โรคกลัวอาการอื่นๆก็ทำร้ายเด็กอ่อนด้วย
ฮอร์โมนแห่งความกดดัน(Cortisol Hormone) ที่หลั่งออกมามากจะกระจายทั่วร่างกายและไปทำลายดีเอ็นเอ
ที่ทำหน้าที่ควมคุมกำกับเซลให้มีชีวิตอยู่นานทำให้เส้นเลือดหดตัวมีผลทำให้ความดันโลหิตสูง
ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายก็ถูกกระทบด้วย เม็ดเลือดขาวที่กำจัดไวรัสและแบดที่เรียก็จะไม่ถูกสร้างขึ้นตามปกติ(ในระดับปกติ)เมื่อต้องต่อสู้กับเชื้อโรค
นี่เป็นเหตุให้ความเครียดและวิตกกังวลมีผลเชื่อมต่อถึงโรคหัวใจวายโรคหลอดเลือดสมอง,โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง,โรคอ้วน
เป็นหมันและอื่นๆอีก
มีการรักษาทางจิตบำบัดหลายอย่างที่ได้ผลรวมถึงการใช้ยาด้วยแต่คนชาวอเมริกาจำนวนมาก(รวมถึงผู้คนอื่นๆทั่วโลก..ผู้แปล
)ก็ยังคงทนทุกข์ทรมานโรคนี้อยู่ เทคโนโลยี่การสแกนได้เปิดเผยถึงว่า
ความวิตกกังวลมีบทบาทอย่างไรต่อสมองคนและสาสตร์แห่งประสาทวิทยาแยกแยะแสดงให้เห็นถึงคนที่ตกอยู่ในสภาวะความกังวลกับปฏิกิริยาใดๆที่เป็นไปได้ในการหยุดและขจัดความเครียด
การศึกษาเลือดสำรวจดูว่ามีสารเคมีเกิดขึ้นอย่างไรเมื่อความวิตกกังวลผลักดันให้สภาพปกติธรรมดาไปสู่สภาพเลวร้าย
แผนที่ยืนพันธุกรรมก็บอกเรื่องราวซับซ้อนของความวิตกกังวลที่ประทับอยู่บนจีโนม(?)
บอกได้ว่าใครเป็นผู้สุ่มเสี่ยงอย่างมากซึ่งหมายความว่าเราสามารถหาทางป้องกันได้แต่แรกเนิ่นๆถึงความผิดปกติที่จะเข้ามาในชีวิตเขาได้ในภายหลัง
แต่ไม่ได้หมายความว่าความผิดปกติวิตกกังวลทุกประเภทจะรับมือกับมันได้
ความวิตกกังวลบางประเภทน่าที่จะยึดรับไว้ได้บ้างเพราะเมื่อเกิดความกังวลขึ้น
ฮอร์โมนจะถูกขับออกมาถ้ามีปริมานพอเหมาะสมมันจะเป็นตัวขับ
กระตุ้นโสตความรู้สึกที่ให้การทำงานที่มีประสิทธิภาพ
ประเด็นสำคัญอยู่ที่ว่าไม่ใช่การรู้สึกวิตกกังวล มันเป็นการเรียนรู้ที่จะควมคุมได้อย่างไร ไม่ใช่ความวิตกกังวลโดยตัวมันเองหรอกที่ช่วยหรือทำลายแต่เป็นการตอบสนองของผู้ที่พบเผชิญสภาพนั้นต่างหากที่จะทำให้เกิดผลดีหรือร้าย
นักจิตวิทยาอ้างถึงความแตกต่างระหว่างความกดดันที่ท้าทายซึงสามารถจุดไฟต่อสู้ของเราขึ้นมากับความกดดันที่ห่อหู่ที่สามารถจุ่มแช่อยู่กับแล้วแผ่ออกอย่างรวดเร็ว
โดยส่วนใหญ่แล้วดูเหมือนว่า ถ้าสมองของเราจะเลือกโดยตัวเองไม่ต้องมีคำชี้แนะจากนักจิตวิทยา
เราต้องการเรียนรู้อะไรก็ตามที่จำเป็นที่จะทำให้ตนสงบสุขและด้วยวิธืการอย่างไรที่กระตุ้นตัวเอง
ปฏิกิริยารับความสมดุลย์(The
Balancing Act) สำหรับผู้ที่ตกอยู่ในสภาวะวิตกกังวลทุกรูปแบบควรระลึกว่า
ความจริงก็คือ สัตว์โลกจะไม่ดำรงชีวิตอยู่รอดได้หากปราศจากมันเพราะความวิตกกังวลกระตุ้นปลุกให้รับรู้ภัยอันตรายหรือเตือนภัย
บทบาทสองด้านของความวิตกกังวลนี้เป็นส่วนหนึ่งของการวิวัฒนาการมนุษยชาติ
ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า
ความกังวลคือแรงผลักดันสนับสนุนขั้นแรกของการแก้ปัญหาแต่ถ้ามันอยู่กับเรานานเกินไปมันจะเป็นตัวสร้างปัญหา
ได้มีการทดลองวิทยาศาสตร์จากนักวิจัยเพื่อหาดูว่ากลไกทางชีวของร่างกายที่ซับซ้อนมุ่งเน้นศึกษาเฉพาะขบวนการที่ขับเคลื่อน
นักวิจัยนายMichael Davis แห่งมหาวิทยาลัย Emeryเป็นคนแรกที่ทำแผนที่ของความวิตกกังวลรวมถึงขั้นตอนต่อสู้ที่มีบทบาทในสมองของวิถีทางต่างๆกัน
เริ่มด้วยที่ Klaxon ในสมองส่วนไฮโปรทาลามัสHypothalamus
ส่งสัญญานไปยังต่อม พิวทูทาลีPituitaryให้ปล่อยฮอร์โมนซึ่งจะไปกระตุ้นต่อมแอดดรีนาลีนให้ปั๊มฮอร์โมนอื่นออกมาด้วย30ชนิด ที่ทำงานเกี่ยวกับระบบหายใจ,หัวใจและระบบอื่นๆปะทุขึ้น ฮอร์โมนที่เด่นเป็นหลักคือ
คอร์ติซอล(Cortisol) เรียกกันทั่วๆไปว่าฮอร์โมนแห่งความเครียด
The Stress Hormone
เพราะว่ามันถูกค้นพบว่ามีความเข็มข้นสูงในกระแสเลือดของคนที่มีความวิตกกังวลสูง
เจ้าฮอร์โมนคอร์ติซอล(Cortisol)ทำให้ผนังเซลถูกทำลายถ้ามันไหลเวียนในกระแสเลือดนานเกินไป สรีระอวัยวะส่วนที่เกี่ยวข้องกับปฏิกิริยาแห่งความกลัวก็คือศูนย์รับรู้อารมณ์
(Amygdala?) emotion Hubในสมองของเรา มันควบคุมทั้งความกลัวและความโกรษความยินดี
ความปราถนาและอื่นๆ ในขบวนการทดลองนั้นได้ตรวจหาว่าหนูที่ตกใจกลัวจะตอบสนองมีปฏิกิริยาอย่างไร
พบว่า
ขณะเกิดความกังวลจะสัมพันธ์กับความกลัวแล้วขยายแผ่ไปเกี่ยวข้องขอบเขตเครื่อข่ายวงจรสมอง
นั้นเป็นเพราะว่าความกังวลไม่ใช่เพียงเพราะกลัวที่เข้าใกล้หรือจวนตัวเข้าใกล้อันตรายแต่เป็นปฏิกิริยากับอันตรายที่เป็นไปได้จะเกิดขึ้น
นี่คือบทบาทสำคัญ(เด่น)ในอาการป่วยวิตกกังวลหลายแบบเช่น กลัวคุ้มคลั่ง
กลัวถูกจู่โจม และความเครียดหลังได้รับบาดเจ็บ(Posttraumatic stress
disorder )ที่มักจะเกิดขึ้นเรียงกันเข้ามาตลอดชีวิตหรือเรียนรู้ประสบการ์ณแก้ไขแล้วก็มาเกิดหวาดกลัวขึ้นอีก
มันน่ายินดี เพราะนั้นเป็นการปรับตัว
การตอบสนองแบบหนีหรือสู้จะไม่เกิดประโยชน์เลยถ้าเราไม่เรียนรู้แต่ละครั้งจากสถานะการ์ณเข้าใกล้ความตาย
โดยบันทึกจดจำสัญญานใดๆที่ปลุกกระตุ้นเตือนภัยคุกคามที่ใกล้เข้ามา
เงามืดที่คืบคลานนี้
ผู้ที่มีอาการประสาทกัดกร่อนเป็นทุกข์กับตนเองเสมอสามารถถูกกระตุ้นขึ้นมาอีกในคราวหน้า
จะระแวดระวังหวาดระแวงทุกภาวะที่มีศักย์ภาพ
พวกย้ำคิดย้ำทำจะไปคิดผลที่ออกมาในเชิงลบ ตัวอย่างเช่นเมื่อย้ำคิดกลัวการถูกขโมยขึ้นบ้านก็ย้ำทำตรวจกลอนประตูหน้าต่าง
การทดลองหลายๆครั้งทำให้นักวิจัยเข้าใจมากขึ้นนำไปสู่การเขียนแผนที่ทางเดินของความวิตกกังวลมากยิ่งขึ้น
เชื่อว่า เป็นส่วนหนึ่งในปฏิกิริยาตอบสนองความกลัวมันเกี่ยวข้องกับการกระตุ้นอย่างต่อเนื่อง
แถวบริเวณแกนไฮโปรทาลามัส-พิวทูทารีแอดดรีนาลีนและไม่สามารถหยุดมันได้แม้ว่าความน่ากลัวได้ผ่านไปแล้ว
การเก็บสัญญานนั้นคงไว้อาจเป็นการตอบสนองของสมองบริเวณBNST(bed
nucleus of the stria terminalis) ซึ่งส่วนนี้จะควบคุมระบบประสาทอัตโนมัติของมนุษย์
ได้แก่การเต้นหัวใจ,อัตราหายใจ,จะมีการทำงานมากในสมองของผู้ป่วยโรควิตกกังวล
ส่วนของBNSTนี้มีฮอร์โมนแอดดรีนาลีนเป็นเชื้อเพลิง
หมายความว่าแกนHPA
ไม่ใช่ปฏิกิริยาตอบสนองความกลัวอาจไม่เกี่ยวข้องกับฮอร์โมนแห่งความเครียด
คอร์ติซอล cortisol เสมอไป
Dr.Jame
Abelson นักวิจัยผู้อำนวยการโครงการความกดดันวิตกกังวลแห่งมหาวิทยาลัยมิชิแกนได้ยืนยันความคิดนี้จากการศึกษาผู้ป่วยวิตกกังวลกลุ่มหนึ่งที่กังวลเกี่ยวกับการขับขี่เมื่ออยู่หลังพวงมาลัย
จากการวัดระดับฮอร์โมนคอร์ติซอล cortisol
จากน้ำลายผู้ถูกทดลองหนึ่งชั่วโมงก่อนที่เขาจะมาที่ห้องแล๊ปทดลองและวัดอีกครั้งเมื่อขณะทำการทดลองให้เขาขับขี่
พบว่า ระดับฮอร์โมนจะเท่ากัน ผู้ถูกทดลองรายงานว่า
เขารู้สึกกังวลมากขณะอยู่หลังพวงมาลัยรถ
เรียนรู้จากความกลัว (LEARNING FROM FEAR) ไม่ว่าจะคิดสู้หรือหนีเป็นความจริงที่เราต้องผจญกับผลของฮอร์โมนคอร์ติซอล cortisolต่อระบบหายใจระบบหลอดเลือด ทำให้เหลือช่องว่างสำหัรับการเรียนรู้น้อยมาก
เพราะมันส่งสัญญานต่รงไปยังบริเวณส่วน the prefrontal cortexของสมอง
บริเวณส่วนนี้ทำหน้าที่เก็บความคิด การวางแผนจัดการและเหตุผล
ใครบ้างที่สุ่มเสี่ยง Who
‘s risk กับการเกิดความผิดปกตินี้ ผู้ที่ประสบความเลวร้าย
บาดเจ็บในเยาว์วัยมักจะเติบโตขึ้นมาด้วยความวิตกกังวลมากกว่าเด็กที่ปราศจากปัญหาทางร่างกายจิตใจ
อย่างกรณีที่เคยได้รับอุบัติเหตุทางรถยนตร์ก็มักจะประสาทกลัวในระหว่างอยู่บนถนน
อย่างไรก็ตามไม่ใช่ทุกคน ทุกกรณี
ทหารที่อยู่แนวหน้าในสงครามทุกคนจะมีประสบการ์ณเกี่ยวกับความโหดร้ายน่ากลัว
จากสถิติมีเพียงร้อยละ15ที่เกิดอาการ ภาวะเครียดหลังได้รับบาดเจ็บ(Post traumatic
stress disorder)(PTSD)ขึ้นภายหลัง
พันธุ์กรรมก็มีส่วนร่วมด้วย
การตอบสนอง สู้หรือหนี เริ่มตั้งแต่แรกเกิด
ตอนแรกเกิดเด็กทารกคลอดแยกออกมาจากมารดาเริ่มร้องไห้ทันทีและปฏิเสธที่กินหรือหลับนอนตลอดคืนและจะสงบลงเมื่ออยู่ในอ้อมกอดของแม่ที่ซึ่งได้โอบอุ้มทั้งความสุขและการร้องไห้
แรงสัญชาตญาณอย่างนี้แล่นผ่านไปตามแกนHPA
แล้วฝังรหัสกับยืนพันธุกรรรมที่ควมคุมเครื่อข่าย แต่นักวิจัยได้ชี้บ่งความผิดปกติ150แห่งในยีนพันธุ์กรรมที่มีส่วนเพิ่มความวิตกกังวลในเด็กที่ไม่พัฒนาสมวัย
เด็กที่มีผู้ปกครอง(พ่อแม่)ที่มีอาการ ย้ำคิดย้ำทำOCD เพิ่มความเสี่ยงต่อความผิดปกตินั้นมากกว่า5เท่าของเด็กที่พ่อแม่ไม่ผิดปกติ
ประสบการ์ณของพ่อแม่ที่มีต่อความเครียดและความวิตกกังวลและมีปฏิกิริยาสนองตอบไปอย่างไรสามารถถ่ายทอดคุณสมบัตินั้นทางพันธุ์กรรมในรูปแบบเฉพาะยีนบางตัว
จากการศึกษาหนูทดลองเพศผู้ที่เป็นทายาทพ่อแม่ทั้งที่ได้รับความเครียดและไม่ได้รับความเครียด
หนูเกิดจากพ่อแม่ได้รับความเครียดมีพฤติกรรมวิตกกังวลมากกว่าหนูที่เกิดกับพ่อแม่ที่ยังไม่ได้รับความเครียดและพวกหนูทดลองที่เกิดกับพ่อแม่ที่ได้รับบาดเจ็บถูกทำร้ายมาก่อน
พวกมันจะแสดงพฤติกรรมในทางลบมากกว่าหนูทารกพ่อแม่ปกติปกติ
ส่วนของพันธุกรรม ยืนที่มีส่วนเกี่ยวข้องผลการทดลองกับหนูนี้
อาจมีบทบาทในพันธุกรรมมนุษย์ด้วย นี่จึงเป็นเหตุผลที่อาจอธิบายได้ว่า ทำไมร้อยละ85ของทหารที่รบอยู่แนวหน้าจึงไม่เกิดอาการ PTSD นักวิจัยกล่าวสำทับอีกว่า สภาวะเงิ่อนไขของสมองในเวลาที่เผชิญความเครียดคือบทบาทสำคัญส่งต่อลูกในการพัฒนาความผิดปกติการวิตกกังวลอย่างกรณี
PTSD
ที่ยกตัวอย่างมานี้
การแก้ไข(Fixing What Ails You)
ผู้ที่ป่วยด้วยอาการวิตกกังวลควรมองโลกในด้านดีว่าการเกิดความเครียดวิตกกังวลนี้เองที่ทำให้มนุษย์อยู่รอดมาได้
เพราะว่าวงจรความวิตกกังวลถูกสร้างเป็นสพานเชื่อมกับส่วนของสมองในการรับอารมณ์และสัญชาตญานรับรู้เข้าใจ
มันเป็นไปได้ที่จะสั่งสอนฝึกตัวเราให้ถอนความวิตกกังวลออกเสียบ้างด้วยวิธีการที่เรียกว่า
การทำให้เป็นนิสัยเคยชิน (Habitation) เด็กทารกที่ร้องไห้เมื่อได้ยินเสียงแตรรถหรือเสียงฟ้าร้อง
ได้เรียนรู้ว่าไม่มีอันตรายใดๆตามมาจากเสียงนั้นเป็นการเรียนรู้เพื่อตระหนักรับทราบแต่ไม่มีปฏิกิริยาต่อมัน
การรักษาทางพฤติกรรมสัญชาตญานCognitive behavioral therapy CBTก็ช่วยให้ผู้ป่วยเรียนรู้บทเรียนทำนองนี้
ส่วนผู้ที่มีความผิดปกติถึงขั้นกลัว(Phobia)
อย่างเช่นกลัวแมงมุม
ก็จะมีความวิตกหวาดกลัวเมื่อเห็นภาพหรือเพียงแต่ คิดถึงเท่านั้น
การรักษาก็ให้ค่อยๆเข้าใกล้ เผชิญจากน่ากลัวน้อยสุดไปถึงมากสุด
เพื่อที่สมองและร่างกาย สร้างความเคยชินต่อต้านความกลัว เช่นเดียวกัน
สำหรับคนไข้ป่วยแบบย้ำคิดย้ำทำถึงอะไรก็ให้ค่อยๆเผชิญและป้องการการตอบสนอง
อย่างในกรณีเชื้อโรค
ผู้ป่วยเกิดอาการเมื่อสัมผัสลูกบิดประตูหรือพื้นรองเท้าของตนเองแล้วให้พยายามมีการต่อต้านพฤติกรรมซ้ำต้องล้างมือหลายๆครั้ง
ให้คิดว่านี่ไม่ใช่กังวลแต่คิดหาวิธีอื่นที่มีประสิทธภาพมากกว่า
ถ้าคุณรับรู้ยอมรับเข้ามาในตัวคุณคุณสามารถควบคุม คุณจะไม่รู้สึกเครียด CBT
protocol แบบแผน CBTสามารถเป็นเครื่องมือที่มีพลัง
สอนให้เราเผชิญหน้ากับความกลัวของพวกเขาด้วยการรับรู้ว่ามันดำรงอยู่แบบไม่แคร์กับมัน
นักวิชาการให้ความเห็นว่า ปัญหาหนึ่งของการกังวลแบบเรื้อรังคือ
ผู้ป่วยมักจะคาดการ์ณผลเสียที่ออกมาในทางลบที่คอยรุมล้อมไล่สติออกไปจากหัว
และแนะนำผู้ป่วยควรยอมรับการเผชิญหน้ามันอาจทำให้สูญเสียผิดผลาด
ขณะเดียวกันก็ขอให้ตระหนักว่ามันไม่ทำให้เราถึงกับต้องตาย
ความวิตกกังวลที่ออกอาการรุนแรงสามารถบริหารจัดการลดลงได้โดยใช้ยา
อย่างเช่น Xanax, Valium และกลุ่มยาBenzodiazepineซึงออกฤทธิ์กว้างขวางในการยับยั้งสารเคมีของสมอง
แต่มันก็อาจทำให้เสพติดและไม่ได้ช่วยให้ผู้ป่วยเรียนรู้การปรับตัว
ยาต้านความซึมเศร้า Antidepressant มีคุณสมบัติต้านความวิตกกังวลด้วยแต่ก็ไม่ได้ช่วยการรักษาแบบCBT
ให้รับรู้สภาพ อย่างไรก็ดีความเข้าใจให้มากยิ่งขึ้นต่อเส้นทางแผนผังทางระบบประสาทการเกิดความวิตกกังวลโดยธรรมชาติ
ช่วยให้เภสัชกรพัฒนายาที่ออกฤทธิ์ตรงตามเป้าหมายและถ้ายิ่งรู้แผนที่ยีนพันธุกรรมที่สัมพันธ์กับสมองกับการถ่ายทอดสภาพความวิตกกังวลทางสายพันธ์
จะสามารถชี้บอกผู้ที่จะเกิดภาวะวิตกกังวลได้แต่แรกเนิ่นๆจะช่วยหาทางให้เขามีทักษะป้องกันการเกิดความวิตกกังวล
ซึ่งดีกว่าการรักษา
เมื่อผู้ป่วยอยู่ในความวิตกกังวล สิ่งแรกจะต้องพิจารณาว่ามันมีอาการรุนแรงแค่ไหน โดยขอให้พิจารณาอาการเหล่านี้ว่าถ้าเกิดขึ้นกับคุณก็ควรไปพบแพทย์ได้แล้ว
- มีอาการเจ็บหน้าอกควบคู่ไปกับความเครียด
- คุณรู้สึกว่ามีความหายนะและถึงวาระสุดท้าย,ปวดศรีษะหรือหายใจเร็วหรือผิดปกติ,หัวใจเต้นเร็ว
- คุณไม่สามารถดำเนินกิจกรรมชีวิตตามปกติ
- คุณมีความกลัวความกังวลเกี่ยวพันธ์หลายๆสิ่งที่คุณไม่สามารถควบคุมมันได้
- คุณมักจะคิดทบทวนย้ำความจำถึงเหตุเลวร้ายที่ผ่านมาเสมอ
และเมื่อไปพบแพทย์แล้วได้รับการวินิจฉัยว่าป่วยจริงมีการรักษาแบบ พฤติกรรมสัญชาตญานบำบัด อาจมีการจ่ายยาด้วยหรือไม่ก็ตาม นั่นเป็นการรักษาที่เหมาะสมที่สุด แต่หากไม่มีคำสั่งให้การรักษาใดๆจากแพทย์แล้ว มีคำแนะนำให้ปฏิบัติดั่งนี้
-เริ่มด้วยอาหาร ให้รับประทานอาหารที่มีกรดไขมันโอเมก้า-3 (Omega3 fatty acid) กรดไขมันโอเมก้า-3ดีต่อสมอง หัวใจ มีการวิจัยพบว่ามันสามารถลดอาการวิตกกังวลได้20%ของนักศึกษาที่กังวลในระยะสอบไล่และยังลดสารเคมีที่ทำให้เกิดการอักเสบชื่อ interleukin-6ที่ถูกปลดปล่อยออกมาในระหว่างมีความเครียด
-สมุนไพรก็เป็นตัวช่วย ทางฝรั่งแนะนำพืชสมุนไพรที่มีชื่อทางพฤษศาสตร์ว่า Rhodiola rosea รู้กันในนาม golden root,roseroot,หรือ Aaron’srod สามารถเสริมอารมณ์ให้แจ่มใส่ ปรับและต้านความเครียด (ประชาชนชาวไซบีเรียใช้สมุนไพรนี้มานานแล้วโดยใช้รากฝนขูดออกมาผสมกับเหล้าว๊อดก้าดืมในเวลาที่อากาศเลวร้าย ของไทยบ้านเราก็มี ระย่อมที่ออกฤทธิ์ทำนองนี้)
-ปรับเปลื่ยนพฤติกรรมการดำรงชีวิตพยายามเข้าใจยอมรับเหตุการ์ณที่กระตุ้นความเครียดแล้วเรียนรู้ทำอย่างไรหลีกหนีมันได้นี่หมายถึงว่าคุณอาจต้องตอบปฏิเสธกับญาติเพื่อนฝูงหรือแม้แต่เจ้านายหากพวกเขาขอร้องให้คุณต้องไปทำอะไรที่ลดทอนสุขภาพของคุณ ไปถึงงานก่อน5นาที หากต้องไปแสดงจงเป็นคนแรก
-การออกกำลัง ไม่ต้องสงสัย สามารถให้ผลที่แตกต่างด้วย มันทำให้ร่างกายหลั่ง เอ็นดอร์ฟีนendorphins(สารเคมีในร่างกายเมื่อหลั่งออกมาทำให้เราผ่อนคลายอารมณ์ดี)
-การทำให้ตัวเองสบายและชื่นชอบ เช่น ฟังเพลง พบสมาคมแวดล้อมกับผู้คนที่ทำให้คุณสนุกเพลิน ฯลฯ
โปรดระลึกไว้ว่าอาการวิตกกังวลที่เรื้อรังต่อเนื่องเป็นอาการที่เลวร้ายน่ากลัว แต่มันก็สามรถรักษาได้เหมือนกัน
เรื่องและภาพ แปล,เรียบเรียงจาก The two faces of Anxiety: TIME December5,2011
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น