ที่รัฐยูท่าห์สหรัฐอเมริกาเด็กนักเรียนประถมกำลังสนุกสนานกับการเรียนร้องอ่านพูดภาษาอื่นที่ไม่ใช่ภาษาแม่ของตน
อย่างเช่น ฝรั่งเศล สเปน จีน หรือโปตุเกส
เหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของโปรแกรมศึกษาภาษาที่แน่วแน่เอาจริงมากที่สุดของสหรัฐอเมริกา
โปรแกรมนี้เริ่มต้นเมื่อปีคศ.2009 เริ่มด้วยนักเรียน1400คนในโรงเรียน75แห่งแล้วขยายตัวไปถึง100 มีเด็กเข้าเรียนถึง 20,000คนในปี2013ราวร้อยละ 20ของโรงเรียนชั้นประถมในรัฐยูท่าห์
ผู้ประสงค์จะเข้าโปรแกรมนี้สมัครตามพื้นที่ของตนที่โรงเรียนตั้งอยู่
การคัดเลือกโดยจับฉลากการเข้าศึกษาโปรแกรมนี้ต้องเรียนเหล่าวิชาที่เรียนในแต่ละวัน
ครึ่งหนึ่งเรียนเป็นภาษาใหม่ อีกครึ่งเรียนเป็นภาษาอังกฤษ
ความคิดที่เปิดสอนโปรแกรมศึกษานี้ขึ้นมานั้นเพื่อเกิดประโยชน์สร้างจิตใจที่ฉลาดว่องไวของเด็กชายหญิงในช่วงเวลานั้นมีผลการวิจัยหลายแห่งแสดงออกมาว่า
สมองของคนที่เรียนรู้ภาษาได้มากกว่าสองภาษาจะแตกต่างและดีกว่าคนที่รู้ภาษาเดียว
ผู้ที่สามารถใช้ภาษาหลายภาษาย่อมดีกว่า
พวกเขาทำงานได้คล่องแคล่วไวกว่าโดยเสียพลังงานน้อยกว่าในการเจริญเติบโตมีอายุขึ้นด้วย
พวกเขาสามารถรักษาสมรรถนะการเรียนรู้องค์ความรู้ได้นานเลื่อนภาวะสมองเสื่อมและการเกิดอาการหลงลืม(อัลไซเมอร์)ยืดออกไป
การรับรู้จากการฟังของมนุษย์จะเริ่มต้นทำงานตั้งแต่เป็นทารกสามเดือนแรกและสิ่งที่เสียงดังที่สุดที่ทารกได้ยินก็คือเสียงของแม่
ไม่ว่าจะพูดภาษาไหนก็ตามเสียง สำเนียง
จังหวะของแม่ที่ออกมานั้นไหลสื่อตรงไปยังสมองของทารกและทำให้เกิดความคุ้นเคยหมายรู้อย่างง่ายดาย
ภาพการพัฒนาของสมองในส่วนของSENSES,HIGHER COGNITION,LANGUAGE ตามอายุตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา
ภาพจาก TIME Magazine July29,2013
เมิ่อปี
ค.ศ.2012นักจิตวิทยาสวีเดนแห่งมหาวิทยาลัยLundตัดสินใจที่จะทดสอบความคิดที่ว่าเมื่อมีระบบเรียนรู้หลายภาษาเกิดขึ้น
เขาทำการแกนสมองผู้ที่เข้าชั้นเรียนในสถาบันThe Armed Forces Interpreter ที่Uppsalaก่อนเข้าเรียน ที่นั้นเด็กๆเข้าโปรแกรม เอาจริงจังสอนหนักกลุ่มหนึ่งเรียนภาษาที่พวกเด็กไม่รู้จักเลยเช่น
Arabic หรือ
Dari เป็นเวลา13เดือนเปรียบเทียบกับอีกกลุ่มที่เรียนรู้การแพทย์ละวิทยาศาสตร์การเรียนรู้เป็นระยะเวลาที่เท่ากันทั้งสองกลุ่มเมื่อเสร็จคอร์สเด็กนักเรียนจะถูกสแกนสมองอีกครั้ง
พบว่าในกลุ่มที่เรียนภาษาพบการเติบโตบริเวณHippocampus บริเวณนี้ช่วยบังคับควบคุมความจำในเรื่องใหม่ๆ
อีกทั้งบริเวณcerebral cortex 3แห่งที่เกี่ยวกับคำสั่งเหตุผลชั้นสูงเติบโตส่วนอีกกลุ่มหนึ่งนั้นไม่มีการเปลื่ยนแปลงนักชีววิทยาชื่อ
Nina Krausแห่งมหาวิทยาลัย นอร์ทเวสได้ใช้ขั้วแปะไฟฟ้าบันทึกคุณภาพการได้ยินบริเวณก้านสมองเพื่อดูพฤกติกรรมความเข้าใจของคนพวกใช้สองภาษา
เธอพบว่าคนที่รู้ภาษามากกว่าหนึ่งภาษาดีกว่าพวกที่ใช้ภาษาเดียวในเรื่องของรับระดับเสียงจังหวะและไม่สับสนกับเสียงรอบข้าง
ผลที่เกิดขึ้นนี้เกิดการพิจารณากันที่ว่า
สมองทำงานอย่างไรไม่ใช่มันเปลื่ยนแปลงอย่างไร สมองคนที่เรียนรู้สองภาษาจะมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นมันมีจุดเชิ่อม(เซลประสาท)ที่มั่นคงเกิดขึ้น
ทุกครั้งที่เราจะใช้คำสองคำเรียกสิ่งของเดียวกันนั้นเป็นการหัดให้เรามีใจจดใจจ่อภาษาในเชิงวิทยาศาสตร์เรียกว่า
task switching เป็นการเตรียมพร้อมทำหลายๆสิ่งในเวลาเดียวกัน
อย่างกรณีที่ทุกครั้งที่ท่านกำลังอ่านอีเมล์เกิดมีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นต้องรับโทรศัพท์แล้วก็เกิดขัดจังหวะมีคนมาพบท่านสมองของท่านต้องแน่วแน่สลับติดอยู่กับไม่กิจกรรมหนึ่งก็อีกกิจกรรมอื่น
มันเป็นการท้าทายยิ่งขึ้นเมื่อคุณต้องมีงานหลากหลายซึ่งไม่ได้มาแบบตามลำดับแต่เกิดพร้อมกัน
ความดีของสมองผู้เรียนรู้ภาษามากกว่าหนึ่งภาษาไม่ได้มีผลแค่วัยเด็กหรือวัยรุ่นเท่านั้นแต่ยังประโยชน์ไปถึงวัยผู้สูงอายุด้วย
มีการประเมินจากหน่วยงาน Cognitive
neuroscientist Brain Gold มหาวิทยาลัยแคนตั๊กกี้
ทดสอบกับกลุ่มผู้สูงวัยที่มีอายุระหว่าง60-68ปี ทดสอบแบบ task-switching
พบว่าผู้ที่เรียนรู้ภาษาสองภาษาจะทำการทดสอบได้ดีกว่าผู้สูงวัยที่เรียนมาภาษาเดี่ยว
โดยปกติทุกกิจกรรมสมองที่ผู้สูงวัยที่รู้สองภาษาใช้จะใช้พลังงานน้อยกว่าผู้สูงวัยที่เรียนภาษาเดียวแม้ว่าการรับรู้ของผู้สูงวัยจะเสื่อมลงตามอายุที่มากขึ้น
แต่สำหรับผู้ที่เรียนสองภาษาจะมีค่าเฉลื่ยยาวขึ้น4.1ปีก่อนเกิดโรคสมองเสื่อมและยาวขึ้นกว่าปกติ5.1ปีก่อนเกิดอาการอัลไซเมอร์
ถ้าเช่นนั้นเราก็ควรส่งเสริมให้ลูกหลานเรียนภาษาเพิ่มขึ้นนอกจากเพียงรู้ภาษาแม่บ้านเกิดของตน
-------------------------------------------------
สกัดใจความ,แปลเรียบเรียงจาก.....The Power of
The Bilingual Brain.. TIME
Magazine July29,2013
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น