ในเรื่องนิยาย Journey To The Centre of The Earthที่แต่งโดย Jules
Verne มีตอนหนึ่งที่แสดงถึงข้อโต้แย้งถกเถียงระหว่างพระเอกของเรื่องชื่อAxelกับลุงของเขาเป็นศาสตราจาร์ยชื่อLindenbrokถึงความเป็นไปได้หรือไม่ในการเดินทางเข้าสู่ใจกลางโลก
โดยทั้งสองใช้ข้อมูลเชิงวิทยาศาสตร์มาเสนอและหักล้างกัน
ผมเห็นว่าบางส่วนของตอนนี้ของเรื่องน่าสนใจใคร่จะนำเสนอมาให้ผู้อ่านได้ทราบและช่วยกันวิเคราะห์
โดยตัดมาถึงการสนทนาระหว่างบุคคลทั้งสองดังนี้
Axel: “ เมื่อลงไปใต้เปลือกโลกทุกๆ70ฟุต อุณหภูมิจะสูงขึ้น1องศา(คงเป็นองศาฟาเรนไฮทเพราะช่วงเวลาที่แต่งเรื่องนี้องศาเซลเซียสยังไม่ถูกนำมาใช้แทน)และถ้าอัตราส่วนนี้คงที่
เมื่อลงลึกยาวเท่ากับเส้นรัศมีของโลกซึ่งมากกว่าสี่พันไมล์อุณหภูมิจะสูงถึงสองล้านองศา
สสารทุกชนิดภายในโลกจะอยู่ในสภาพแก๊สที่ลุกโชติช่วง ไม่ว่าทองคำ พลาตินั่มหรือแม้แต่หินแข็งๆทั้งหมดไม่สามารถต้านทานอุณหภูมิขนาดนั้นได้
ฉนั้นเป็นไปได้อย่างไรที่จะผ่านสภาพแบบนั้นไปได้ ”
ศาสตรจาร์ย Lindenbrok: “ เรื่องความร้อนหรอกหรือที่เธอเป็นห่วง ”
Axel:“แน่นอนเมื่อเราเดินทางลงลึกเพียง25ไมล์เราก็มาถึงสุดขอบเปลือกโลก
ณ.ที่นั่นอุณหภูมิขึ้นสูงมากกว่า1,300องศา”
ศาสตรจาร์ย Lindenbrok: ”
ไม่ว่าเธอหรือใครๆจะรู้อุณหภูมิที่ที่แท้จริงหรอกเท่าที่ทราบตอนนี้เราลงลึกไปถึงได้เพียงเศษหนึ่งส่วนหนึ่งหมืนสองพันของรัศมีโลกแล้วจะเอาอะไรกับวิทยาศาสตร์ทื่คาดคะเนผลเกินเลยมันมักจะมีทฤษฎีใหม่ล้มล้างของเดิมอยู่เสมอ
ก่อนหน้านักวิทยาศาสตร์ที่ชื่อฟิวริอะเราโดยทั่วไปก็ยังไม่เชื่อว่าอุณหภูมิของอวกาศระหว่างดวงดาวลดลงอย่างสม่ำเสมอต่อเนื่องและเราก็ไม่เคยรู้เลยจนบัดนี้ว่าอุณหภูมิต่ำสุดในอวกาศ(etherealอากาศธาตุที่ครอบคลุมจักรวาล)ไม่ต่ำลงไปกว่าลบ40หรือลบ50องศาใต้จุดเหยือกแข็งแล้วทำไมมันจะไม่เป็นจริงเช่นเดียวกับความร้อนอุณหภูมิภายในโลกบ้างทำไมล่ะ
ณ.ความลึกระดับหนึ่งจะไม่ถึงขีดจำกัดแทนที่จะขึ้นสูงไปถึงจุดหลอมเหลวแร่ธาตุที่ส่วนใหญ่ที่เดิมต้านทานไว้ได้
”
Axel: เงืยบไม่โต้ตอบอะไร ศาสตรจาร์ยจึงกล่าวต่อ
ศาสตรจาร์ย Lindenbrok: ”
ขอยกตัวอย่างนักวิทยาศาสตร์ที่ชื่อ พอยส์สันPoisson ได้พิสูจน์แล้วว่าถ้าภายในโลกมีอุณหภูมิสูงถึง
2ล้านองศาจะเกิดแก๊สเนื่องจากการหลอมละลายสสารต่างๆทำให้โลกโป่งพองจนมันไม่สามารถทนได้และระเบิดแตกออกมาเหมือนแผ่นของหม้อต้ม
“
Axel: “ นั่นเป็นความเห็นของพอยส์สันPoisson ”
ศาสตรจาร์ย Lindenbrok: “
และก็ยังมีความคิดเห็นของนักวิทยาศาสตร์อื่นๆ ที่เห็นว่าภายในโลกใบนี้ไม่ได้ประกอบด้วยแก็สหรือน้ำหรือแร่ธาตุหนักที่เรารู้จักเพราะถ้าเป็นอย่างนั้นโลกจะหนักเพิ่มขึ้นอีกครึ่งเท่า”
Axel: “ โอ้ ลุงสามารถพิสูจน์ตัวเลขนั้นได้ไหมล่ะ ”
ศาสตรจาร์ย Lindenbrok: “ แต่เธอสามารถพิสูจน์ความจริงที่เธอกล่าวมาแล้วได้หรือเปล่า
มันจริงไม่ใช่หรือที่จำนวนภูเขาไฟลดลงอย่างเห็นได้ชัดตั้งแต่โลกได้ก่อตัวขึ้นและเราก็ไม่อาจสรุปได้ว่าถ้ามีความร้อนสูงในใจกลางโลก
ความร้อนกำลังลดลง ”
Axel: “
ถ้าลุงยืยยันว่าจะเข้าไปในใจกลางโลกผมก็ไม่มีอะไรจะพูดมาก ”
ศาสตรจาร์ย Lindenbrok: “ฉันขอเอ่ยถึงนักเคมีชาวอังกฤษที่ชื่อ
ฮรัมฟรี่ เดวี่มาแลกเปลื่ยนความคิดเห็นในปี1825”
Axel: “
ตอนนั้นผมยังไม่เกิด จนกระทั้ง19ปีต่อมา ”
ศาสตรจาร์ย Lindenbrok: “ฮรัมฟรี่
เดวี่ มาพบลุงที่ฮรัมบรูก สำหรับคำถามนี้เราใช้เวลาสนทนาถกเถียงกันนาน
ถึงสมมุติฐานเรื่องภาวะธรรมชาติของไหลพื้นดินใจกลางโลก
และเราก็ได้เห็นพ้องต้องกันว่า
ของไหลนั้นไม่สามารถมีอยู่จริงด้วยเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ไม่เคยถูกปฏิเสธหักล้างๆได้ ”
Axel: “ เหตุผลนั้นคืออะไรครับ “
ศาสตรจาร์ย Lindenbrok: “
เพราะว่าสสารเหลวของไหลนั้นเป็นวัตถุ(ไหลได้)เช่นเดียวกับน้ำทะเลที่ถูงดึงดูดได้โดยดวงจันทร์เป็นเวลาสองครั้งต่อวัน
มันจะเกิดกระแสน้ำขึ้นลงภายในโลกผลักดันเปลือกโลกชั้นใน ผลก็จะเกิดแผ่นดินไหวเป็นระยะเวลาตามมา
”
Axel: “
แต่ก็เป็นที่รู้กันว่าพื้นผิวโลกภานนอกเคยได้รับผลจากความร้อนมาก่อนแล้วเป็นไปได้ที่ผิวเปลือกโลกเย็นตัวลงก่อนความร้อนจึงไหลลงไปสู่ใจกลางโลก”
ศาสตรจาร์ย Lindenbrok: “ เธอผิดแล้ว
โลกได้รับความร้อนการเผาไหม้ที่พื้นผิวของมันก็เท่านั้น พื้นผิวโลกประกอบด้วยโลหะหลายชนิดจำนวนมาก เช่นแร่โปแตสเซียม,โซเดียม
พวกนี้มีคุณสมบัติติดไฟง่ายเมื่อเพียงแต่สัมผัสอากาศและน้ำ ธาตุเหล่านี้จะลุกเป็นไฟเมื่อไอบรรยากาศล้อมรอบโลกกลั่นตัวตกลงมาในรูปแบบของฝนลงมาบนดินทีละเล็กทีละน้อยน้ำก็จะซึมผ่านรอยแยกของเปลือกโลกมันจึงเกิดไฟและการประทุดังนั้นในระยะการเกิดโลกช่วงแรกจึงมีภูเขาไฟมากมาย
ลุงเรียกการอธิบายนี้ว่าทฤษฎีเจ้าความคิด(Ingenious theory) ครั้งหนึ่ง ฮรัมฟรี่
ได้ทำการทดลองแสดงให้ลุงดู
ที่นี่ภายในห้องด้วยการทดลองแบบง่ายๆเขาสร้างลูกบอลล์ขนาดเล็กประกอบด้วยโลหะเป็นส่วนใหญ่โลหะที่ลุงได้บอกไปแล้วจำลองเหมือนโลกของเราเมื่อเขาพ่นสเปย์ด้วยน้ำติต่างว่าเป็นฝน
มันก็ปะทุติดไฟเกิดอ๊อกซิไดด์ เกิด(ภูเขา)นูนเล็กๆโดยมีปล่องอยู่ที่ยอดนูน
การติดไฟปะทุนี้ทำให้ลูกบอลล์ร้อนจนเธอไม่สามารถถือไว้ในมือได้”
.......................
ดูเหมือนการโต้แย้งนี้ทั้งสองได้ใช้ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์มาสนับสนุน
Axel
เห็นว่าใต้พื้นพิภพลงไปถึงใจกลางโลกอุณหภูมิสูงเป็นไปไม่ได้ที่เดินทางลงไปทั้งนี้เขาอ้างถึงข้อมูล(ในช่วงเวลาที่ผู้ประพันธ์เขียนกลาง
ศต.19)ทุกความลึก70เมตรอุณหภูมิจะสูงขึ้น1องศาเช่นนี้ณ.ใจกลางโลกอูณหภูมิสูงถึง2ล้านองศาแค่เพียงขอบเปลือกโลกในก็สูงถึง1300องศาแต่ส่วนศาสตรจาร์ย
Lindenbrok ก็ใช้ข้อมูลที่หลานอ้างถึงสืบถึงผลที่จะเกิดขึ้งแย้งกลับไปพร้อมกับนำความเห็นสมมุติฐานหรือทฤษฏีของนักวิทยศาสตร์ที่คิดเห็นเช่นตนมาแสดงพร้อมทั้งให้ตรรกะง่ายๆ(อุณหภูมิ2ล้านองศาต้องทำให้เกิดแก็สจนดันภายในโลกให้ระเบิดออก
หรือ เมือเกิดของเหลวภายในโลกย่อมถูกอิทธิพลแรงดึงดูดของดวงจันทร์ทำให้เกิดความดันเปลือกโลกเป็นช่วงเวลาของวันและยังใช้การคาดคะเนว่าต้องมีจุดจำกัดของอุณหภูมิภายในโลกโดยยกช่วงจำกัดอุณหภูมิของอวกาศ)
เหล่านี้ดูเหมือนทำให้ผู้อ่านจะเคลิมตามและเห็นชอบไปด้วยหากเราเป็นผู้อ่านที่อยู่ในช่วงสมัยนั้นหรือแม้แต่เรามีชีวิตในปัจจุบันก็ตามทั้งทั้งที่รู้ข้อเท็จจริงก็อาจเคลิ้มฝันเพ้อไปกับการโลดแล่นของตัวละครและฉากเดินเรื่องของผู้เขียน
สำหรับนิยาย fiction ยังไงก็เป็นเรื่องไม่จริงอยู่ดีแต่นิยายวิทยาศาสตร์
(SF) science fictionจะมีศิลปะหลักของเรื่องอยู่สองประเด็น คือเน้นหนักไปกับจิตตนาการแฟนตาซี
กับเรื่องที่อิงหลักวิทยาศาสตร์
นิยายวิทยศาสตร์เรื่องใดที่เดินเรื่องหนักไปทางจิตตนาการมากเราถือว่าเรื่องนั้นเป็นประเภท
Soft Science ส่วนเรื่องที่อิงหลักวิทยาศาสตร์มากถือเป็นประเภท Hard Science
ซึ่งที่จริงนิยายวิทยาศาสตร์ทั้งหลายก็จะมีหลักทั้งสองซ้อนกันผสมกันอยู่แล้ว
ส่วนผู้อ่านจะนิยมชมชอบประเภทไหนก็แล้วแต่รสนิยมส่วนตัว โดยทัศนะคติส่วนตัวของผม
ผมเห็นว่านิยายวิทยาศาสตร์ที่จัดอยู่ในกลุ่มคลาสซิกได้คือมีคนอ่านมาได้ยาวนานหลังจากการประพ้นธ์เรื่องมาแล้วหลายๆปีอ่านเมื่อไหร่(แม้โลกจะวิวัฒนาการผ่านมาแล้ว)ก็ยังรู้สึกฉงนตื่นเต้นสนุกติดตามจนจบเรื่องได้
ต้องเป็นนิยายที่ผสมผสานระหว่างจิตตนาการแฟนตาซีกับการอิงหลักวิทยาศาสตร์อย่างพอเหมาะ ดังเรื่อง
Journey To The Centre of The Earthที่แต่งโดย Jules Verne
------------------------------------------------------------------------
เอาเข้าจริงแล้วใจกลางโลกก็ไม่อยู่ในสภาพของไหลเหลวจริงตามที่ศาสตรจาร์ยLindenbrokกล่าวอ้าง ดูข้อมูลได้เว็ปไซค์ข้างล่างนี้
http://portal.edu.chula.ac.th/lesa_cd/assets/document/lesa212/8/earth_structure/earth_structure/earth_structure.html
http://portal.edu.chula.ac.th/lesa_cd/assets/document/lesa212/8/earth_structure/earth_structure/earth_structure.html
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น