จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันศุกร์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2561


                                            พลังใหม่ของยาหลอก
                                                                   
ภาพจาก http://www.drugrehabadvisor.com/
  
       นานนับกว่า20ปีทื่ ลินดา บลอนนาโน้ (Linda Buonnanno)ถูกรบกวนภาระกิจชีวิตประจำวันด้วยอาการลำไส้แปรปรวน( IBS,Irritable Bowel Symptom) เธอพยายามทำทุกสิ่งทั้งใช้ยาและอาหารเพื่อหยุดยั้งมัน เธอได้เข้าร่วมโครงการทดลองทางคลีนิดศึกษารักษาอาการนี้เมื่อมีการนำเสนอทางทีวีเพื่อขอรับอาสาสมัครเพื่อทดลอง สามอาทิตย์ต่อมาจากการที่เธอได้รับประทานยาเม็ดวันละครั้งอาการป่วยของเธอก็หายไป ยาเม็ดที่เธอรับประทาน แพทย์ได้บอกเธอตรงๆว่าว่ามันไม่ได้มีตัวยาออกฤทธิ์ใดๆ แต่อย่างไรและที่ฉลากขวดยายานั้นก็เขียนคำว่า “placebo pill”  เป็นเวลานับศตวรรษที่วงการแพทย์เฝ้าติดตามผลของยาหลอก(placebo effect )ปรากฎการ์ณที่สามารถปรับเสริมสุขภาพคนไข้ให้ดีขึ้นโดยไม่เกื่ยวข้องกับการบำบัดโรคแต่อย่างไร
           ศาสตราจาร์ย เทค คัพทชุด(Prof Ted Kaptchuk ) แห่งวิทยาลัยแพทย์ฮาร์ดเวอร์ดหนึ่งในทีมวิจัยเรื่องนี้ พยายามจะวิจัยค้นหาผลของมันต่อเนื่องต่อไปโดยให้ผู้ถูกหลอกรู้ตัวอย่างเปิดเผยว่ายาที่ใช้เป็นยาที่ไม่มีตัวยาออกฤทธิ์ใดๆ
          ในปี ค.ศ.2009 โรงพยาบาลมหาลัยแพทย์   ได้ออกโครงการทดลองรักษาอาการลำไส้แปรปรวนด้วยยาหลอกที่เปิดเผยกับผู้ป่วยให้ผู้ถูกทดสอบทราบ ผลออกมาน่าสนใจที่ผคนไข้รายงานว่าผลอาการปวดบรรเทาลงพอควรเมื่อเปรียบเทียบกับผู้ป่วยที่ไม่ได้รับยาอะไรเลย ไม่เท่านั้นในการทดลองใช้รักษาพวกเขาไม่ว่าหญิงหรือชายยังมีอัตราอาการดีขึ้นในเกือบเป็นสองเท่าของพวกที่ดีกระเตื้องขึ้นจากการรักษาด้วยสองวิธีที่ใช้กันอยู่ตามปกติ
             ไม่ทราบแน่ชัดว่าอะไรที่สนับสนุนผลของยาหลอก ผู้เชี่ยวชาญบางท่านให้ความเห็นว่า ร่างกายของคนเราตอบสนองมันอย่างความรู้สึกใต้สำนึกโดยตอบสนองทั้งทางกายภาพและสรีรวิทยาอย่างPavlov’sdog! (การตอบสนองเงื่อนไขหมายถึงขั้นตอน การเรียนรู้ที่ กระตุ้นทางชีวภาพ (เช่นอาหาร)) ขณะที่นักวิจัยท่านอื่นชี้ว่าเกิดจากพลังแห่งการคิดบวก  ไม่ว่าจะอย่างไรตอนนี้คุณสามารถซื้อมันได้ในเว็ปอะเมซอนด๊อดคอมได้แล้ว ขวดละ แปดถึงสิบห้าเหรียญสหรัฐ ใช่ว่าทุกคนจะเห็นด้วยกับการทำงานของยาหลอกที่ซื่อสัตย์เปิดเผยนี้ มันไม่มีเหตุผลเสียเลย แต่ถ้าเรายังอยู่ในสภาพแวดล้อมการสาธารณสุขขณะนี้ที่ความรับรู้ถึงการได้รับการปฎิบัติสูญเสียไปกับค่าใช้จ่ายที่สูง ขณะที่พบแพทย์ได้ไม่กี่นาทีแต่เสียเวลาเดินทางไปพบนานนับชั่วโมง มันก็พอยอมรับ
       ผลของยาหลอกปรากฏขึ้นมานานแล้วในประวัติศาสตร์การแพทย์ในปีค.ศ. 1807 ประธานาธิบดี โทมัส เจฟเฟอรสัน ได้เขียนถึงเพื่อนว่า “ แพทย์ผู้ประสพความสำเร็จในวิชาชีพท่านหนึ่งที่ผมรู้จักบอกแก่ผมว่า เขาใช้ขนมปังเม็ด  หยดน้ำสีและ ผงเถ่าถ่านต้นฮิคคะรี่(hickory)มากกว่าวิธีอื่นๆรวมกันเสียอีก ” ปัจจุบันยาหลอกได้การยอมรับอย่างดีในวงการแพทย์สมัยใหม่ แพทย์กลุ่มหนึ่งได้แสดงให้เห็นถึงการผ่าตัดหลอกๆปลอมๆจากการเฉื่อนหัวเข่าเล็กน้อยแล้วเย็บมันกลับเข้าไปโดยไม่ได้ทำอะไรเลยก็ให้ผลดีเท่ากับ ผู้ป่วยที่เป็นกระดูกข้ออักเสบแล้วได้รับการผ่าตัดหัวเข่าจริง มีปรากฏการ์ณหนึ่งที่รู้จักกันในนามว่า “nocebo effect” ผู้คนที่มีความคิดความคาดหวังในเชิงลบจะทำให้เขารู้สึกแย่เลวลง  ผู้เชี่ยวชาญบางท่านเชื่อว่าปรากฏการ์ณนี้เกิดเป็นส่วนน้อยในการเจริญเติบโตของคนที่มีรายงานว่าโปรตีนชนิดหนึ่งจากข้วสาลีและผลิตภัณฑ์นม
    นักวิจัยพบถึงความแตกต่างเล็กน้อยในยาหลอกด้วย อย่างเช่นผลจะเพิ่มมากขึ้นเมื่อคนป่วยผู้ใช้ถูกบอกว่ายานั้นราคาแพงหายาก สีของยาก็อาจมีผลด้วย สีฟ้าผู้ใช้ตอบสนองได้ผลดีในฤทธิ์สงบระงับให้ง่วง สีขาวเหมาะกับระงับปวดและอื่นๆซึ่งยังคงไม่รู้ บางรายตอบสนองได้ผลดีกับยาหลอกที่บอกตรงๆว่าเป็นยาหลอกขณะที่บางรายไม่ได้ผลเช่นเดียวกับการรักษาวิธีอื่นๆ
    ในปีค.ศ.2016 วารสารการปวด (journal pain ) ตีพิมพ์รายงานวิจัยคณะของศาสตราจาร์ย เทค คัพทชุด ที่ทำวิจัยกับผู้ป่วยสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งได้รับยาพวกที่ไม่ใช่สเตรียลอยด์แก้ปวดกับอีกกลุ่มที่ได้รับยาหลอกที่ติดฉลากบอกว่าเป็นยาหลอก ให้กินวันละสองครั้ง หลังสามสัปดาห์ผ่านไป คณะวิจัยพบผลว่าโดยเฉลี่ยแล้วลดอาการปวดแบบปกติ ลง9% ลดอาการปวดรุนแรง 16% แต่ไม่ได้ผลที่เกิดการฟื้นคืนสภาพของข้อขณะที่กลุ่มผู้กินยาหลอกได้ผลลดอาการปวดทั้งสองลักษณะลงได้ 30% และลดสภาพไร้สมรรถนะของข้อได้29% ศาสตราจาร์ย เทค คัพทชุค ไม่เข้าใจสาเหตุแต่มีความเห็นว่า บางทีร่างกายรู้
ดีกว่าจิตใจ สิ่งสำคัญมากกว่าการทำความเข้าใจว่ายาหลอกที่เปิดเผยทำงานอย่างไรก็คือการตีกรอบออกมาที่จะนำผลความรู้เชิงวิทยาศาสตร์แปลเปลื่ยนมาใช้ปฏิบัติรักษาทางคลีนิค เขาต้องการให้ยอมรับมันสั่งใช้ได้ตามใบสั่งแพทย์
       นักวิทยาศาสตร์ทราบแล้วว่ามันให้ผลรักษาดีพอสมควรในเคสป่วยบางอาการ อาจเทียบเท่าประมาณ 30%-45%ของการตอบสนองต่อยาต้านความซึมเศร้า มันสามารถหยุดอาการผิดปกติของโรคบางอย่างแต่ไม่สามารถหยุดยั้งเนื้อร้ายเซลมะเร็ง การใช้ยาหลอกรักษาคงปรากฏแค่การกระตุ้นให้ตัวสื่อนำเซลประสาทที่มีส่วนทำให้อาการป่วยดีขึ้นออกมาทำงานมากขึ้นปัญหาที่พวกเขาถกเถียงคือหากนำมันให้ประชาชนใช้ผู้คนจะเกิดทึกทักไปเองว่ามันสามารถใช้ได้กับการป่วยทุกกรณีไป
       นักวิจัยบางท่านก็ไม่สนใจการค้นคว้ายาหลอกที่ซื่อสัตย์นี้ให้ควมเห็นว่าผลของมันได้จากการพูดโอ้อวดหรือไม่ก็เป็นผลจากการชี้แนะชี้ทาง โดยแจ้งหาว่าแพทย์จะต้องบอกกับคนไข้ผู้ถูกทดลองพวกเขาจะได้รับยาที่มันทำงานได้ผลแน่แต่คณะของศาสตราจาร์ย เทค คัพทชุดปฎิเสธิเรื่องนี้คณะของเขาได้คัดเลือกรูปแบบทดลองที่ได้ตอบสนองต่อการทดลองในอดีตอย่างการวิจัยความเจ็บปวดและการปวดจากไมเกรน
             ยาหลอกไม่ใช่ยาวิเศษมหัศจรรย์ นักวิจัยสำคัญท่านหนึ่งชื่อ อเลีย ครุม (Alia Crum)กล่าว เรามองว่าผลของมันคือผลผลิตจากความสามารถในการฟื้นตัวรักษาของร่างกายเองซึ่งถูกกระตุ้นจากMindset (ความเชื่อที่มั่นคงแน่วแน่ส่งผลต่อพฤติกรรม)และความหวังต่อการฟื้นตัวและถูกเสริมประกอบด้วยพิธีทางแพทย์,ยี่ห้อของยา,คำพูดของแพทย์ที่ทำการรักษาเธอว่าการวิจัยยาหลอกที่ซื่อสัตย์มันสำคัญและน่าสนใจแต่ไม่เห็นด้วยกับการนำมาเป็นยาสั่งใช้ตามใบสั่งแพทย์แทนที่แพทย์จะหาทางออกทำอย่างไรต่อคนไข้,ปรับทัศนะคติความคิดที่ถูกต้องต่อการดูแลคนไข้ “ เรามุ่งใส่เงินเป็นพันๆล้านดอลลาร์เพื่อให้ได้ยาและการรักษาใหม่ๆโดยปราศจากการมุ่งสนใจไปยังวิกฤต์การ์ณจากโรคเรื้อรัง อะไรเกิดขึ้นถ้าเราเสียเวลาและเงินเท่ากันเพื่อให้ประสพความสำเร็จเข้าใจให้มากขึ้นต่อธรรมชาติความสามารถในการฟื้นตัวของคนไข้  ในการวิจัยของเธอวางแนวว่า แพทย์ที่มีอัธยาศรัยดีแสดงความอบอุ่นต่อคนไข้มีผลต่อการตอบสนองของคนไข้อย่างไร ”   
         เดือน มีนาคมค.ศ.2017 เธอศึกษากับปฏิกิริยาผิวหนังแพ้ตามแขนกับผู้ถูกทดลองสองกลุ่มโดยแพทย์ได้ให้สารฮีสตามีนทาตามแขนเล็กน้อยจะเกิดผื่นแดงบริเวณที่ทา ในกลุ่มที่แพทย์ได้เอาใจใส่แสดงความห่วงใยใช้คำพูดและสายตาปลอบโยนขณะที่ทาครีม(ยาหลอกไม่มีตัวยาออกฤทธิ์)ว่าสามารถลดอาการแพ้ลงได้ อะไรก็ตามที่แพทย์ได้พูดถึงครีมที่ใช้ไม่ว่ามันจะทำให้ดีขึ้นหรือเลวลงย่อมเกิดการแสดงผลต่อผื่นด้วย อีกกลุ่มหนึ่งผู้ถูกทดลองเกิดปุมบวมใหญ่เมื่อได้รับการรักษาแบบเดียวกันแต่แพทย์ผู้ให้ครีมทากลับนิ่งเฉยเมยแสร้งวางบุคคลิกไม่พูดให้ความเข้าใจกับผู้ทดลอง
       เจนนี่ เดนโต้ (Jeni Dento)ผู้ปกครองท่านหนึ่งมีบุตรห้าคนอายุ11-17ปี ได้อุปโลคตัวช่วยที่เรียกว่า “ของวิเศษ”(Magic feel Good )(หาซื้อได้ที่เว๊ปอเมซอน)เมื่อบุตรของเธอยังเด็กทุกสัปดาห์จะมีคนหนึ่งก่อนไปโรงเรียนมีอาการปวดท้องไม่ก็เจ็บปวดจากความกลัว เธอและสามีพิจารณาแล้วเห็นว่านี่ไม่ได้เป็นจริงและร้ายแรงเธอจึงเข้าครัวผสมน้ำส้ม,น้ำองุ่น,น้ำผึ้งลงในถ้วยเรียกมันว่า“ของวิเศษ”(Magic feel Good )มาให้บุตรเธอดื่ม เดนโต้ เสริมสร้างของวิเศษโดยใช้วิตามินซีที่บรรจุอยู่ในแผงนำลงใส่กล่องที่ออกแบบเหมือนหนังสือแปลกๆเพ้อฝันแล้วมีฉลากเขียนว่าเป็นยาเม็ดที่ใช้กับอาการป่วยที่ไม่เกิดจากทางพยาธิสภาพเท่านั้น เธอคิดว่าเจ้าสิ่งนี่น่าประสพความสำเร็จแพร่หลาย อาจถูกของเธอในชิ้นส่วนการแพทย์ที่สูญหายไป มีเหตุผลให้เห็นกัน เมื่อสิบปีที่ผ่านมา มีการวิจัยที่มุ่งเน้นผลกระทบจากการเอาใจใส่มีความรู้สึกร่วมในการรักษาจะช่วยให้เกิดผลดีขึ้น (และ)แต่จากการศึกษาณ.ปัจจุบันแสดงให้เห็นว่าเมื่อผู้ปกครองพบกับแพทย์ที่รักษาเอาใจใส่น้อยไม่นำพา จะไม่พอใจ เดิมประชาชนอเมริกาส่วนใหญ่รู้สึกว่าหลักประกันสุขภาพของประเทศมีประสิทธิภาพ ผลสำรวจปัจจุบันพบว่าชาวอเมริกามีความเชื่อมั่นต่อการเป็นผู้นำทางอุสาหกรรมการแพทย์ลดลง จากปีค.ศ. 1966  มีถึง73% เหลือ 34%
        มีการเปิดขายยาหลอกทางออนไลน์แล้ว ลูกค้าผู้ซื้อมีทั้งนำไปใช้เองหรือพวกนักวิจัยค้นคว้ารวมถึงแพทย์ซึ่งนำไปทดลองใช้กับคนไข้ของตนโดยแพทย์ผู้นำไปรักษารายหนึ่ง( Dr. Jesse Hoover )กล่าวว่า ลูกค้าผู้ป่วยของเขาหลายรู้สึกเบื่อหน่ายสิ้นหวังจากการรักษาอื่นๆแล้วจึงมาหาเขาเพื่อใช้วิธีฝังเข็มหรือยาสมุนไพรจีน คนไข้ของเขาสงสัยในยาหลอกแต่เขาคิดว่ามันเป็นรูปแบบหนึ่งในชุดวิธีการรักษาของเขา

 ตัวเลขจากการสำรวจและวิจัยแสดงพลังของยาหลอกโดยวิธีต่างๆ ภาพจาก Time  Magazine Sep3/Sep10,2018    


         สมาคมการแพทย์แห่งสหรัฐอเมริกาก็กังวลเรื่องของยาหลอกเหมือนกัน ภายใต้จรรยาบรรณทางการแพทย์พวกเขาจึงกำหนดว่า แพทย์สามารถใช้ยาหลอกสำหรับการตรวจวิฉัยหรือการรักษาได้ก็ต่อเมื่อคนไข้ผู้ป่วยยอมรับให้ความร่วมมือมีส่วนร่วมใช้ยาหลอก(ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ทราบว่าแพทย์จะสั่งจ่ายให้เขาเมื่อใด)และสมาคมยังกำหนดอีกว่า แพทย์สามารถผลิตสร้างสภาวะที่คล้ายเหมือนยาหลอกตามความเชี่ยวชาญเพื่อประโยชน์ต่อความมั่นใจเสริมสร้างกำลังใจ ความสัมพันธ์ระหว่างคนไข้กับแพทย์  ด้วยความเคารพและซื่อสัตย์ และเพื่อพัฒนาปรับปรุงสุขภาพให้ได้ผลดีขึ้นออกมา
          ยาหลอกดูซับซ้อนแต่มันไม่ใช่การเล่นกลหรือเวทมนตร์คาถา เป็นวิทยาศาสตร์ใหม่ที่ขอพลังแห่งความเมตตาการดูแลเอาใจใส่แต่เพียงเล็กน้อยทำมันอย่างจริงจังแม้นจะไม่สามารถอธิบายมันได้แต่ผลของมันอาจมีค่ายิ่ง
                                         -----------------------------------------------------------------------------------                                                                                                                          สกัดและแปลจาก Placebo 's new Power ;Time  Magazine Sep3/Sep10,2018
โปรดดูอ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เว็ปไซด์สากลต่างๆ

ไม่มีความคิดเห็น: