หรือว่า บริษัทพร็อคเตอร์แกรมเบิลP&Gจะแตกแยก
ในวาระการประชุมผู้ถือหุ้นประจำปี เดือนตุลาคม 2560 บริษัทP&G มีความขัดแย้งต่อสู้ที่รุนแรงระหว่างผู้ถือหุ้นนักกิจกรรม เนลสัน เพลทซ์( Nelson Peltz) กับ เดวิส เทเลย์ (David Taylar)ผู้บริหารระดับสูง,อีโอของบริษัท
ที่จริงทั้งสองคนเห็นพ้องกันว่าพร็อคเตอร์แกรมเบิลP&Gจำต้องถูกซ่อมแซมแต่ไปในทิศทางกันคนละแนว
บริษัทพร็อคเตอร์แกรมเบิลP&Gมีผลประกอบการที่ต่ำกว่าประวัติที่ผ่านมา นานนับสิบปีแม้ว่ายอดขายจากการบริหารของเทเลย์พุ่งสูงขึ้นบ้างแต่ความจริงบริษัทกำลังทะลักออกมา หลายปีที่ P&Gเป็นบริษัทธุรกิจที่ซบเซาเฉลี่ยชา มันเคยผ่านสถานะการ์ณยุ่งยากมาก่อนเหมือนอย่างเช่นธุรกิจชั้นนำในสหรัฐอย่าง IBM, General Motor,Sears.Kodaxแล้วผ่านจุดปรับเปลื่อนมาแล้วทั้งสิ้น ปัจจุบันอยู่ในคำถามว่าจะกลับคืนสู่ความยิ่งใหญ่ได้เหมือนเดิมหรือไม่หรือดำเนินการอยู่รอดต่อไปตกต่ำให้น้อยลง เนลสันและ เทเลย์ ทั้งสองรู้แก่ใจว่าจะต้องทำอะไรตามยุทธศาสตร์ของเขาอย่างมีเหตุผลที่แตกต่างกัน
ข้อพิจารณา ความท้าทายสูงสุดก่อนที่เศรษฐกิจสหรัฐจะอยู่โค้งซบเซาต่ำสุด หุ้น บริษัทP&G มีผลประกอบการที่แย่มาก ขณะที่ธุรกิจผลิตภัณฑ์บริโภคทั้งหมดตกต่ำ บริษัทP&Gเป็นผู้ประกอบการอุตสาหกรรมรายใหญ๋ก็ตกต่ำกว่าคู่แข่งหลักด้วย อย่าง ยูนิลีเวอร์ Unilever, คอลเกตปามล์โอลีฟ Colgate Palmolive, แฮงเกล Henkel อื่นๆ ผลิตภัณฑ์หลายยี่ห้อของP&G อย่างเช่น Pantene,Gillete,Crest สูญเสียส่วนแบ่งการตลาดไป การเติบโตขององค์กรถูกประเมินว่าอยู่แค่ 2%เมื่อปีงบประมาณที่แล้วและอยู่ในระดับ2-3%ของปีนี้ตัวเลขนี้ต่ำกว่าคู่แข่งและก็ไม่สามารถชดเชยกับค่าเงินเฟ้อได้นั้นหมายถึงไม่ได้เติบโตเลยแต่ตัวชี้วัดที่ไม่ใช่ค่าทางบัญชีกลับเลวร้ายกว่า ปัจจุบันคนรุ่นใหม่หนุ่มสาวอาจไม่วาดภาพว่า เป็นบริษัทนายจ้างผู้เจิดจรัสกว่าบริษัทอื่นใดในโลก พนักงานผู้หนึ่งที่ได้ออกจากบริษํทไปแล้วหวลคิดคำนึงใคร่ครวญว่า “ เมื่อฉันได้มาร่วมงานมันคือ กูลเกิล,อเมซอล,โกลด์แมน ในปัจจุบัน มันแสดงให้เห็นว่าเราเป็นบริษัทที่ดีที่สุดในโลก เราสร้างผลิตภัณฑ์ที่ดีที่สุด เราปรับปรุงคุณภาพชีวิตผู้คนเราเป็นผู้นำการส่งออกทั่วโลก มันยากที่จะเข้ามาทำงานที่นี่ได้พวกเขาคัดเลือกด้วยการสัมภาษณ์ทีเยื่ยมแต่มันไม่เป็นเช่นนั้นอีกแล้ว ”
มีข้อมูลยืนยันดังนั้น กลับไปปีค.ศ.1996 จากการสอบถามสำรวจประจำปีของนิตยสารฟอร์จูน บริษัทP&Gเป็นบริษัทอเมริกันที่น่าชื่นชมอันดับสองรองจากโคาโคล่า เมื่อปี ค.ศ.2009ก็มาอยู่ในอันดับ6ของโลกหลังจากนั้นก็ตกชั้นมาเรื่อย ปัจจุบันอยู่ในลำดับที่19ก่อนที่เนลสัน เพลทซ์รณรงค์ให้มีการเลือกตั้งบอร์ด
แน่ละบริษัทส่วนมากจะยินดีเมื่อมาอยู่ในลำดับ19ของโลกท่ามกลางระหว่างบริษัทที่น่าชมเชยยกย่องที่มีมูลค่าตลาดรวม220ล้านล้านเหรียญสหรัฐนี่เป็นตราแห่งชัยชนะและนั้นก็เป็นปัญหาใหญ่ P&Gไม่ได้อยู่ในสภาพวิกฤกติแต่อาจจะถ้าองค์กรยอมจำนนอยู่ในอำนาจเชื่อฟังอารมณ์คุมทิศทางองค์กรที่กำลังตกต่ำด้วยตนเองเน้นมองไปตามกระแสมากกว่าคำนึงถึงแนวโน้ม เราสามารถชี้ให้เห็นการดำเนินการที่ดีของบริษัทหลายอย่าง บริษัทมีผลิตภัณฑ์หลากหลายอยู่ในหลายประเทศ อย่างไรก็ตามบริษัทผลาดเป้าหมายหลายแห่งที่กรรมการบอร์ดได้ตั้งให้ไว้กับผู้บริหารระดับสูงในผลประกอบการรอบสามปีนี้ สำหรับรอบสามปีถัดไปบอร์ดแจ้งว่าเป้าการเติบโตองค์กรเฉลี่ยต้อง2.8%ต่อปีแม้ว่าเทเลย์คาดหวังว่าตลาดเติบโตได้3%-3.5%ต่อปี ดังที่อดีตผู้บริหารระดับสูงท่านหนึ่งกล่าวว่า “ พวกเขาตั้งเป้าไว้เพื่อสูญเสียส่วนแบ่งการตลาด ”
ใน4,5ปีที่ผ่านมา P&Gได้กระชับองค์กรโดยขายกิจการแบร์ดต่างๆที่ขนาดเล็กทำกำไรน้อยออกไปขณะที่กำไรเติบโตแต่องค์กรก็ต้องเสียส่วนแบ่งการตลาด( จากรูปกราฟกลางปี2014กำไรเริ่มสูงขึ้นถึงปี2016ขณะที่รายได้จากยอดขายลดลง )
รูปภาพจากIs it time for P&G to break up?นิตยสาร Fortune ,December1,2017
การกู้ชื่อสถาบันอันเก่าแก่ไม่ใช่เรื่องง่ายแต่ถ้าจะต้องทำจุดเริ่มแรกที่ดีทีสุดก็คือวัฒนธรรมบริษัทที่ยึดมั่นแข็งแกร่งความภาคภูมิและเสียสละทุ่มเทชีวิตไปกับงานเป็นสิ่งสำคัญต่อความสำเร็จของบริษัทแต่มันก็ไม่ได้ปรับตัวเมื่อสภาพแวดล้อมเปลื่ยนไป มันกลายเป็นเบรคไม่ใช่คันเร่ง ในโลกแห่งการรบกวนจากดิจิตอลและพฤกติกรรมผู้บริโภคที่ผันเปลื่ยน แผ่กว้างออกไป
บริษัทเองก็ตะหนักถึงความท้าทายมาเมื่อสี่ปีที่แล้ว ได้ปรับเปลื่ยนวัฒนธรรมมาตั้งแต่นั้น เทเลย์ออกเสียงให้มีการเปลื่ยนแปลงโดยเร็วให้นำคนนอกเขามาในตำแหน่งสูงแต่วัฒนธรรมเดิมที่มีมาปฏิเสธิ์ คนนอกมานานแล้ว เพราะพวกเขาไม่เข้าใจธรรมเนียมองค์กรแม้P&Gได้นำบริษัทนอกกลุ่มอย่าง มานานแล้วแต่ก็มีผู้บริหารระดับสูงเหลืออยู่น้อยเพลทซ์พูดกับเทเลย์ว่าถ้าเราไม่สามารถนำบุคคลจากภายนอกมาในเป็นผู้บริหารระดับสูงได้ เราก็จะตกต่ำ
สำหรับผู้ลงทุน,ผู้ถือหุ้นหลายคนได้วิจาร์ณไว้ว่า ทั้งเพลทซ์ และ เทเลย์ ที่จริงก็ไม่เข้าใจความยุ่งยากของ P&Gอย่างแท้จริงหรอก พวกเขาเสนอว่าทางแก้ไขก็คือ การแก้ไขที่พวกนักกิจกกรรมทั้งหลายรวมเพลทซ์ด้วยทีมีความต้องการเสมอทางใดก็ตามในการแตกบริษัทซึ่งก็สอดคล้องกับความเห็นของนักวิเคราะห์มีชื่อของสถาบันการลงทุนแห่งหนึ่งของอเมริกา
บริษัทใหญ่ๆอ้างเหตุผลกันว่า การที่จะประสพความสำเร็จในการเสริมพลังแห่งคุณค่า,ความมีประสิทธิภาพต่อขนาดของการผลิตได้ก็โดยการรวมกันของธุรกิจที่หลากหลาย นักวิเคราะห์มีชื่อของสถาบันการลงทุนแห่งหนึ่งของอเมริกาเห็นแย้งว่านั้นเป็นภาพหลอกลวง มีผลิตภัณฑ์หลายยี่ห้อที่บริษัทยักษ์ใหญ่ถอดออกไปให้ผู้อื่นอย่างเช่น Clairol,Wella,Covergirl..ที่ ขายให้กับบริษัทCoty เมื่อปีที่แล้วทำผลงานดีให้กับบริษัทขนาดเล็กเขากล่าวว่า” ถ้ามีใครสักคนคำนวณดูบนยอดกำไรและต้นทุนและนำมาเปรียบเทียบกับบริษัทคู่แข่งที่เล็กกว่าจะรู้ว่า P&G เป็นองค์กรที่ไม่ได้ซูบผอมลงแต่ซับซ้อนมากกว่าและมันไม่ได้เสริมสร้างขนาดพลังให้กับ P&G จุดนี้ต่างหาก ”
พนักงาน P&Gเองคาดคิดว่าเพลทซ์ คงไม่ปราถนาแยกบริษัทเขาอาจจะมีแผนลับ เขาต้องการปรับรูปแบบองค์กรใหม่จากหน่วยธุรกิจระดับโลก10หน่วยให้เหลือเพียง 3หน่วยธุกิจที่เสร็จสรรพ(stand-alone) การแตกแยกอาจไม่ปลดปล่อยคลื่นแห่งนวตกรรมและผลิตผลที่ดี แต่ในปัจจุบันนี้ดูเหมือนว่า ไ่ม่เกิดขึ้นเว้นเสียว่าผลประกอบการจะเลวร้ายมาก นั่นอาจเป็นปัญหาหนึ่งที่ไม่เอาใจใส่ว่าอะไรเป็นทางแก้ที่ดีที่สุดสำหรับ P&Gเพราะภาพฉากแห่งการตกต่ำที่ค่อยเป็นค่อยไป
บริษัทยักษ์ใหญ่ประสพความสำเร็จสูงมักไม่เครื่องดับง่ายๆเมื่อเขาปรับตัวไม่สำเร็จ บ่อยครั้งที่มันหยุดนิ่ง พวกเขาทำการเปลื่ยนแปลงแต่ไม่เพียงพอ เขามียุทธวิธีเพื่อหาปัญหาต่างเสมอแต่มันไม่พอ เพราะมันไม่ได้ถูกทำให้สำเร็จ
ต่อข้อกังวลจากผู้ถือหุ้นที่ว่าผู้บริหารจะนำพาบริษัทผ่านพ้นภาวะถดถอยและหรือบริษัทพร็อคเตอร์แกรมเบิลP&Gจะแตกแยกย่อยคงต้องรอดูความกระจ่างในสองสามปีข้างหน้า บริษัทพร็อคเตอร์แกรมเบิลP&ไ่ม่ได้วิกฤติเราจะรู้กันในเร็วๆนี้ ถ้ามันต้องการใครสักคนที่มาสร้างความเปลื่ยนแปลง ถ้าทำจริงมันก็สายเสียแล้ว
_____________________________________________________________________
แปล,คัด,ถอดความจาก Is it time for P&G to break up?นิตยสาร Fortune ,December1,2017
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น