ระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง
พยาบาลสนามรบประสบกับการขาดแคลนยาแก้ปวดอย่างแรงที่จะต้องให้กับทหารที่บาดจ็บ
จึงคิดแก้ไขโดยการลวงผู้บาดเจ็บด้วยการฉีดน้ำเกลือให้แทนและยังบอกว่าเป็นมอร์ฟืนยาแก้ปวดอย่างแรง
ซึ่งก็ได้ผล บ่อยครั้งที่อาการเจ็บปวดของทหารมลายหายไป
นางพยาบาลไม่ได้เล่นเลห์เพทุบายกับผู้ป่วยเพียงแต่กระตุ้นให้ผู้ป่วยตอบสนองต่อยาหลอก
ยาหลอกชื่อที่ให้ความหมาย ในตัวอยู่แล้ว
คือยาที่ไม่จริงใจ เป็นยาหลอกล่อก(แต่ไม่หลอกลวง)ผู้ใช้ ผู้รับประทาน มันอาจจะให้ผลในการรักษาบ้างหรือไม่ให้เลยก็ได้
แต่มันมีประโยชน์ต่อวงการวิจัยทางแพทย์และเภสัชกรรมคำนี้มาจากภาษาลาตินแปลว่า
ฉันอยากจะสบาย (I will
please)
ในการวิจัยค้นคว้าหาตัวยาใหม่ๆเอามารักษาโรคหรืออาการป่วย
กว่าจะได้สักยา สักชนิดหนึ่ง
ใช้เวลาเป็นสิบกว่าปี เสียทรัพย์เงินทุนมากกว่า ร้อยล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ
มีขั้นตอนที่เรียกว่า การทดลองทางคลีนิก(clinical trial) ในการทดลองนี้
ประกอบไปด้วยวิธีการ ขั้นตอนการวิจัย
สสารที่คิดค้นพัฒาที่จะทำเป็นยา และผู้ถูกทดลองซึ่งจะเป็นอาสาสมัครที่มีทั้งผู้ป่วยและผู้ที่ปกติ
ในการที่จะพิสูจน์ทดสอบว่าสสารที่คิดค้นนี้มีประสิทธิภาพประสิทธิผลในการรักษา
ออกฤทธิ์ยาเพียงใด นักวิจัยต้องใช้ยาหลอกนี้
เป็นตัวเทียบเคียงมาประเมินผลด้วย
โดยปกติ อาสาสมัครกลุ่มหนึ่งจะถูกให้รับประทานสสารที่พัฒนาเป็นยาส่วนอีกกลุ่มหนึ่งที่
ภาษานักวิจัยเรียกว่ากลุ่มคอนโทรน(control group) ให้รับประทาน,ใช้
ยาหลอก และไม่มีใครเลยทราบว่าทราบว่าตัวเองกินอะไรไป
บางครั้งแพทย์นักวิจัยก็ไม่ทราบเหมือยกัน ที่กระทำอย่างนั้นเพื่อนำผลทั้งสองกลุ่มมาเปรียบเทียบ
เพราะว่าบางครั้งคนไข้ผู้ป่วยมีอาการดีขึ้นแค่เพียงแต่ได้รับยาหลอก
ชนิดของยาหลอกType
of Placebo
ยาหลอกอาจจะไม่ใช่ รุปแบบของยา(ไม่ว่าจะเป็นยาเม็ด ยาน้ำ ยาแค๊ปซูล ฯลฯ) แต่อาจหมายถึงการรักษา
การกระทำใดๆ เพื่อหลอกกต่อคนไข้หรือผู้ถูกทดสอบ อย่างเช่น
การให้อาหารพิเศษ,ออกกำลังกาย,การทำสรีระบำบัด บีบนวด หรือแม้แต่การผ่าตัดหลอกๆ
ผลของยาหลอกถูกกระตุ้นดึงขึ้นให้เกิดโดยความเชื่อส่วนบุคคลในการรักษาและการคาดหวังถึงความรู้สึกว่าดีขึ้น
มากกว่ารูปแบบพิเศษของยาหลอกที่ได้รับ
ยาหลอกทำงานอย่างไร
ที่จริงเรายังไม่ทราบกลไกการออกฤทธิ์ของมันดี
โดยเฉพาะทางสรีรวิทยา
มีหลายทฤษฏีที่พยายามอธิบายไว้ดังนี้
Self-Limitting disorders อาการป่วย ผิดปกติหลายอย่างจะถูกจำกัดหยุดด้วยตนเอง อย่างการเป็นไข้หวัด
แม้นว่าจะใช้ยา,ยาหลอก หรือไม่ใช้ก็ตาม การหายจากอาการเป็นเพียงเรื่องบังเอิญสอดคล้องต้องกัน
Remission การบรรเทาของโรคบางชนิด
เช่น multiple
sclerosis, lupus อาจจะเพิ่มหรือบรรเทาลงไป
การลดบรรเทาลงนี้เกิดขึ้นในช่วงที่ได้ยาหลอกโดยบังเอิญ
ไม่ใช่สาเหตุมาจากยาหลอกทั้งหมด
A change in behavior ยาหลอกอาจเพิ่มแรงจูงใจให้ผู้ป่วยดูแลปฎิบัติตนเองรักษาสุขภาพให้ดีขึ้น
โดย รับประทานอาหารดีๆ ออกกำลังกาย หรือพักผ่อน
ซึ่งสิ่งเหล่านี้หยุดอาการเจ็บป่วยได้
Altered perception ความเชื่อมโยงของบุคคลกับอาการป่วยของเขาอาจเปลื่ยนไปด้วยความคาดหวัง
ทึกทักเอาเองรู้สึกว่าดีขึ้น
อาการเจ็บปวดเฉียบพลันอาจรับรู้เชื่อมโยงเพียงการเสี่ยวซ่านธรรมดา
Reduced anxiety การได้ยาหลอกแล้วเกิดคาดหวังที่รู้สึกดีขึ้นนั้น
อาจทำให้ระบบประสาทอัตตโนมัติ(ระบบประสาทเหนือการควมคุม)สงบเรียบลง
ลดระดับของสารเคมีที่ก่ออาการเครียด ที่เรารู้จักกันในชื่อ แอดดรีนารีน (Adrenaline)
Brain chemicals ยาหลอกอาจกระตุ้นการปล่อยสารระงับความเจ็บของร่างกายเอง
สื่อตัวกลางเซลประสาทสมอง Neurotrasmitter ที่เรียกว่า
เอนดอรฟีน (Endorphins)
Altered brain state นักวิจัยระบุว่า
สมองตอบสนองต่อภาพจิตนาการ ภาพมายาในทิศทางเดียวกันกับที่ตอบสนองภาพที่เห็นจริง
ยาหลอกช่วยให้สมองจำระลึกช่วงเวลาก่อนที่เกิดอาการป่วย และนำมันขึ้นมาเปลื่ยนแปลงทางสรีระ
ทฤษฎีนี้เรียก คืนความจดจำแห่งสุขภาพที่ดี (remembered wellness)
องค์ประกอบที่มีอิทธิพลให้ผลของยาหลอก
อย่างไรก็ตามมีองค์ประกอบหลายสิ่งที่ก่อให้เกิดผลของยาหลอก
ดังนี้
ลักษณะของยาหลอก นักวิจัยพบว่า
ขนาดยาเม็ดที่ใหญ่จะทำให้ผู้รับประทานรู้สึกว่าออกฤทธิ์ได้แรงกว่าขนาดเม็ดเล็ก
รับประทานสองเม็ดดีกว่าเม็ดเดียว ยาฉีดดีกว่ายาน้ำหรือยาเม็ด ค่านิยมส่วนบุคคลก็มีผล ถ้าบุคคลนั้นหวังว่าการรักษาให้ผลโอกาสเห็นผลของยาหลอกก็จะสูงด้วย
ความสัมพันธ์ระหว่างแพทย์กับคนไข้ผู้ป่วยก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่ง
แพทย์ผู้ให้ยาสามารถทำให้ผลของยาหลอกสูงขึ้น หากได้พูดคุยสร้างความสัมพันธ์
สร้างความศัทธาของผู้ป่วยที่มีต่อยาหลอก
ยาหลอกที่มีผลในด้านบวกต่อคนที่ใช้เ ลด ,บำบัดอาการเจ็บป่วย เราเรียกว่า Placebo effect แต่ บางครั้ง บางคนยาหลอกก็ให้ผลในทางตรงกันข้ามเราเรียกว่า Nocebo
effect กล่าวคือสามารถก่อให้เกิด
ผลทางด้านลบ เกิดอาการไม่พึงปราถนา เช่น คลื่นใส่ วิงเวียนศรีษะ ภูมิแพ้
ผื่นคันที่ผิวหนัง ฉนั้นการสั่งให้ใช้ยาหลอก
นานๆโดยไม่มีการเฝ้าติดตามทางสาธารณสุข
เป็นสิ่งที่ต้องหลีกเลี่ยงและพิจารณาให้ดีด้วย
อ้างอิงและเรียบเรียงจาก
๑ Placebo effect
…www.betterhealth.uic.gov.au
๒ How a sugar pill can
heal(or hurt) Time November 2,2009
๓ Placebo
effect www.cancer.org/treatment/treatmentsandsideeffects/treatmenttypes/placebo-effect
1 ความคิดเห็น:
อ่านจะราบเรียบกว่านี้ถ้าใช้ตัวหนังสือพิมพ์ขนิด(Type)เดียวกันตลอด
แสดงความคิดเห็น