จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันอาทิตย์ที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2556

ยาหลอก Placebo



ยาหลอก Placebo
                     ระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง พยาบาลสนามรบประสบกับการขาดแคลนยาแก้ปวดอย่างแรงที่จะต้องให้กับทหารที่บาดจ็บ จึงคิดแก้ไขโดยการลวงผู้บาดเจ็บด้วยการฉีดน้ำเกลือให้แทนและยังบอกว่าเป็นมอร์ฟืนยาแก้ปวดอย่างแรง ซึ่งก็ได้ผล บ่อยครั้งที่อาการเจ็บปวดของทหารมลายหายไป นางพยาบาลไม่ได้เล่นเลห์เพทุบายกับผู้ป่วยเพียงแต่กระตุ้นให้ผู้ป่วยตอบสนองต่อยาหลอก
                      ยาหลอกชื่อที่ให้ความหมาย ในตัวอยู่แล้ว คือยาที่ไม่จริงใจ เป็นยาหลอกล่อก(แต่ไม่หลอกลวง)ผู้ใช้ ผู้รับประทาน มันอาจจะให้ผลในการรักษาบ้างหรือไม่ให้เลยก็ได้ แต่มันมีประโยชน์ต่อวงการวิจัยทางแพทย์และเภสัชกรรมคำนี้มาจากภาษาลาตินแปลว่า ฉันอยากจะสบาย           (I will please)
                   ในการวิจัยค้นคว้าหาตัวยาใหม่ๆเอามารักษาโรคหรืออาการป่วย กว่าจะได้สักยา สักชนิดหนึ่ง  ใช้เวลาเป็นสิบกว่าปี เสียทรัพย์เงินทุนมากกว่า ร้อยล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ มีขั้นตอนที่เรียกว่า การทดลองทางคลีนิก(clinical trial)  ในการทดลองนี้ ประกอบไปด้วยวิธีการ ขั้นตอนการวิจัย  สสารที่คิดค้นพัฒาที่จะทำเป็นยา และผู้ถูกทดลองซึ่งจะเป็นอาสาสมัครที่มีทั้งผู้ป่วยและผู้ที่ปกติ ในการที่จะพิสูจน์ทดสอบว่าสสารที่คิดค้นนี้มีประสิทธิภาพประสิทธิผลในการรักษา ออกฤทธิ์ยาเพียงใด นักวิจัยต้องใช้ยาหลอกนี้ เป็นตัวเทียบเคียงมาประเมินผลด้วย   โดยปกติ อาสาสมัครกลุ่มหนึ่งจะถูกให้รับประทานสสารที่พัฒนาเป็นยาส่วนอีกกลุ่มหนึ่งที่ ภาษานักวิจัยเรียกว่ากลุ่มคอนโทรน(control group) ให้รับประทาน,ใช้ ยาหลอก และไม่มีใครเลยทราบว่าทราบว่าตัวเองกินอะไรไป บางครั้งแพทย์นักวิจัยก็ไม่ทราบเหมือยกัน     ที่กระทำอย่างนั้นเพื่อนำผลทั้งสองกลุ่มมาเปรียบเทียบ เพราะว่าบางครั้งคนไข้ผู้ป่วยมีอาการดีขึ้นแค่เพียงแต่ได้รับยาหลอก
ชนิดของยาหลอกType of Placebo 
              ยาหลอกอาจจะไม่ใช่ รุปแบบของยา(ไม่ว่าจะเป็นยาเม็ด ยาน้ำ ยาแค๊ปซูล ฯลฯ) แต่อาจหมายถึงการรักษา การกระทำใดๆ เพื่อหลอกกต่อคนไข้หรือผู้ถูกทดสอบ อย่างเช่น การให้อาหารพิเศษ,ออกกำลังกาย,การทำสรีระบำบัด บีบนวด หรือแม้แต่การผ่าตัดหลอกๆ ผลของยาหลอกถูกกระตุ้นดึงขึ้นให้เกิดโดยความเชื่อส่วนบุคคลในการรักษาและการคาดหวังถึงความรู้สึกว่าดีขึ้น มากกว่ารูปแบบพิเศษของยาหลอกที่ได้รับ
ยาหลอกทำงานอย่างไร
                ที่จริงเรายังไม่ทราบกลไกการออกฤทธิ์ของมันดี โดยเฉพาะทางสรีรวิทยา  มีหลายทฤษฏีที่พยายามอธิบายไว้ดังนี้
Self-Limitting disorders อาการป่วย ผิดปกติหลายอย่างจะถูกจำกัดหยุดด้วยตนเอง อย่างการเป็นไข้หวัด แม้นว่าจะใช้ยา,ยาหลอก หรือไม่ใช้ก็ตาม การหายจากอาการเป็นเพียงเรื่องบังเอิญสอดคล้องต้องกัน
Remission การบรรเทาของโรคบางชนิด เช่น multiple sclerosis, lupus อาจจะเพิ่มหรือบรรเทาลงไป การลดบรรเทาลงนี้เกิดขึ้นในช่วงที่ได้ยาหลอกโดยบังเอิญ ไม่ใช่สาเหตุมาจากยาหลอกทั้งหมด
A change in behavior  ยาหลอกอาจเพิ่มแรงจูงใจให้ผู้ป่วยดูแลปฎิบัติตนเองรักษาสุขภาพให้ดีขึ้น โดย รับประทานอาหารดีๆ ออกกำลังกาย หรือพักผ่อน ซึ่งสิ่งเหล่านี้หยุดอาการเจ็บป่วยได้
Altered perception ความเชื่อมโยงของบุคคลกับอาการป่วยของเขาอาจเปลื่ยนไปด้วยความคาดหวัง ทึกทักเอาเองรู้สึกว่าดีขึ้น อาการเจ็บปวดเฉียบพลันอาจรับรู้เชื่อมโยงเพียงการเสี่ยวซ่านธรรมดา
Reduced anxiety การได้ยาหลอกแล้วเกิดคาดหวังที่รู้สึกดีขึ้นนั้น อาจทำให้ระบบประสาทอัตตโนมัติ(ระบบประสาทเหนือการควมคุม)สงบเรียบลง ลดระดับของสารเคมีที่ก่ออาการเครียด ที่เรารู้จักกันในชื่อ แอดดรีนารีน (Adrenaline)
Brain chemicals ยาหลอกอาจกระตุ้นการปล่อยสารระงับความเจ็บของร่างกายเอง สื่อตัวกลางเซลประสาทสมอง Neurotrasmitter ที่เรียกว่า เอนดอรฟีน (Endorphins)
Altered brain state นักวิจัยระบุว่า สมองตอบสนองต่อภาพจิตนาการ ภาพมายาในทิศทางเดียวกันกับที่ตอบสนองภาพที่เห็นจริง ยาหลอกช่วยให้สมองจำระลึกช่วงเวลาก่อนที่เกิดอาการป่วย และนำมันขึ้นมาเปลื่ยนแปลงทางสรีระ ทฤษฎีนี้เรียก คืนความจดจำแห่งสุขภาพที่ดี (remembered wellness)
องค์ประกอบที่มีอิทธิพลให้ผลของยาหลอก
               อย่างไรก็ตามมีองค์ประกอบหลายสิ่งที่ก่อให้เกิดผลของยาหลอก ดังนี้
ลักษณะของยาหลอก นักวิจัยพบว่า ขนาดยาเม็ดที่ใหญ่จะทำให้ผู้รับประทานรู้สึกว่าออกฤทธิ์ได้แรงกว่าขนาดเม็ดเล็ก รับประทานสองเม็ดดีกว่าเม็ดเดียว ยาฉีดดีกว่ายาน้ำหรือยาเม็ด   ค่านิยมส่วนบุคคลก็มีผล ถ้าบุคคลนั้นหวังว่าการรักษาให้ผลโอกาสเห็นผลของยาหลอกก็จะสูงด้วย  ความสัมพันธ์ระหว่างแพทย์กับคนไข้ผู้ป่วยก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่ง แพทย์ผู้ให้ยาสามารถทำให้ผลของยาหลอกสูงขึ้น หากได้พูดคุยสร้างความสัมพันธ์ สร้างความศัทธาของผู้ป่วยที่มีต่อยาหลอก
              ยาหลอกที่มีผลในด้านบวกต่อคนที่ใช้เ ลด ,บำบัดอาการเจ็บป่วย  เราเรียกว่า Placebo effect แต่ บางครั้ง บางคนยาหลอกก็ให้ผลในทางตรงกันข้ามเราเรียกว่า Nocebo effect  กล่าวคือสามารถก่อให้เกิด ผลทางด้านลบ เกิดอาการไม่พึงปราถนา เช่น คลื่นใส่ วิงเวียนศรีษะ ภูมิแพ้ ผื่นคันที่ผิวหนัง  ฉนั้นการสั่งให้ใช้ยาหลอก นานๆโดยไม่มีการเฝ้าติดตามทางสาธารณสุข เป็นสิ่งที่ต้องหลีกเลี่ยงและพิจารณาให้ดีด้วย
อ้างอิงและเรียบเรียงจาก
Placebo effect …www.betterhealth.uic.gov.au
How a sugar pill can heal(or hurt) Time November 2,2009
  Placebo effect    www.cancer.org/treatment/treatmentsandsideeffects/treatmenttypes/placebo-effect

1 ความคิดเห็น:

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

อ่านจะราบเรียบกว่านี้ถ้าใช้ตัวหนังสือพิมพ์ขนิด(Type)เดียวกันตลอด