จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันอังคารที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2556

เรื่องสั้น " แผนผลิตยากำพร้า "



          แผนผลิตยากำพร้า

ประเทศ    สหรัฐอเมริกา
เวลา          ต้นปี ค.ศ. 1990
สถานที่   แห่งใดแห่งหนึ่ง ในรัฐรัฐหนึ่งที่เป็นที่ตั้งของบริษัทยาชั้นยอด บริษัท ดิโฮเวิลด์ฟาร์มาซี
บริษัท ดิโฮเวิลด์ฟารมาซี บริษัทยาชั้นนำอันดับต้นๆของสหรัฐอเมริกา ณ.ห้องประชุมของบริษัท กรรมการบริหารและผู้บริหารระดับสูง ขณะนี้ กำลังประชุมหารือถึงแผนการผลิตยาชนิดใหม่ที่ถูกนำเสนอโดย ด็อกเตอร์ เพียวฮาร์ด วูแมน    ด็อกเตอร์ เพียวฮาร์ท วูแมน อดีตผู้ชำนาญการสูงสุดในองค์การอนามัยโลกWHO เธอผู้ที่มีจิตใจสูงส่งพอๆกับอัจฉริยภาพความสามารถที่โดดเด่นทางการแพทย์เภสัชศาสตร์ ผู้อุทิศตนให้งานในตำแหน่งหน้าที่ เมื่อครบเทอมวาระออกจากตำแหน่งแล้ว เธอได้กลับมาบ้านเกิดเมืองนอนเพื่อร่วมงานกับบริษัทแห่งนี้ โดยดำรงตำแหน่งหัวหน้าโครงการพัฒนาและวิจัยเพื่อการผลิตยา ขณะนี้กำลังเตรียมการนำเสนอแผนผลิตยากำพร้าต่อประธานและคณะกรรมการบริหารทั้งหลาย วัตถุประสงค์ของโครงการของเธอนั้นไม่ได้มุ่งหวังผลกำไรและรายได้ให้แก่บริษัทแต่เพียงอย่างเดียว  จึงเป็นการยากลำบากในการนำเสนอผ่านข้อโต้แย้งถกเถียงให้เป็นที่ยอมรับต่อที่ประชุมได้ ลำพังท่านประธานกับกรรมการบางท่านไม่ได้ทำให้เธอหนักใจมากไปกว่า ด็อกเตอร์ ยู เอส  ดอลลาร์เฟิซท    ด็อกเตอร์ ยู เอส ดอลลาร์เฟิซท ศาสตราจาร์ยผู้คว่ำวอดทางเศรษฐศาสตร์เมื่อสมัยเป็นอาจาร์ยสอนในมหาวิทยาลัยฮาร์เวิร์ด ภายหลังลาออกมาประกอบอาชีพนักธุรกิจส่วนตัวด้านยาและเวชภัณฑ์  เป็นผู้ทรงอิทธิพลและเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่รายหนึ่งของบริษัทเป็นผู้ที่มักจะให้ข้อคิดเห็นที่ขัดแย้งกับแผนการผลิตยากำพร้า และต่อไปนี้ คือการนำเสนอโครงการฯของด็อกเตอร์ เพียวฮาร์ท วูแมนต่อที่ประชุม



ด็อกเตอร์ เพียวฮาร์ท วูแมน

                ก่อนอื่นดิฉันขอทบทวนทำความเข้าใจกับท่านทั้งหลาย ถึงความหมายของคำศัพท์และที่มาของคำว่า ยากำพร้าOrphan Drugชื่อนี้อาจสื่อให้เข้าใจบ้างอยู่แล้วว่าเป็นยาหรือกลุ่มยาที่บริษัทผู้ผลิตในวงการอุตสาหกรรมยาและเวชภัณฑ์ ผลิตออกสู่ตลาดเพียงไม่กี่รายหรืออาจไม่มีผู้ผลิตรายใดเลยก็ว่าได้ กล่าวคือยาบางรายการตัวยานั้นถูกค้นพบและสังเคราะห์ได้ในระดับห้อง
แล็ปห้องทดลองเท่านั้น ไม่มีนายทุนนักธุรกิจตัดสินใจที่จะนำไปผลิตออกจำหน่ายสู่ตลาด ความหมายที่สมบูรณเป็นทางการของคำนี้ มาจากสำนักงานอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกากำหนดไว้ว่า  ยากำพร้าเป็นยาที่ถูกใช้ในการบำบัดรักษาผู้ป่วยหรือคนไข้จำนวนน้อยทั้งนี้เพราะผู้ป่วยเหล่านี้เป็นโรคอาการผิดปกติที่พบหายาก  จากการสำรวจขององค์การแห่งชาติเพื่อโรคที่หายาก National Organization for Rare Disorder เปิดเผยว่ามีโรคเหล่านี้อยู่ประมาณ 5,000 กว่าชนิด กระจายอยู่ในประชากรอเมริกันของเราประมาณ 20-25 ล้านคน พวกท่านพอทราบความหมายเดิมหรือไม่ว่าความหมายเดิมของคำว่า ยากำพร้าที่ระบุไว้ในบทบัญญัติยากำพร้าตราออกใช้ครั้งแรกในสมัยท่านประธานาธิบดีโรแนลรีแกนเพ่อผ่านรัฐสภาครองเกสขอความเห็นชอบนั้นมีความหมายถึง ยาที่ใช้บำบัดรักษาผู้ป่วยชาวอเมริกันจำนวนน้อยกว่า 200,000ราย ให้ถือว่าไม่ก่อเกิดผลกำไรให้จัดเข้าข่ายเป็นยากำพร้าโดยปริยาย สำหรับบทบัญญัติยากำพร้า ......  

ด็อกเตอร์ ยูเอส  ดอลลาร์เฟิซท

                ต้องขออภัยที่ขัดจังหวะครับท่านประธานฯแต่ผมต้องขอให้ท่านหัวหน้าโครงการนำเสนอต่อที่ประชุมให้ตรงประเด็นกว่านี้ว่า ทำไมต้องผลิตยาในกลุ่มนี้ ?นี่พวกท่านก็เห็นแล้วว่า ปริมาณจำนวนผู้ป่วยในกลุ่มโรคนี้มีน้อยมากไม่ถึง 200,000 คน จะไปทำตลาดได้อย่างไร จะก่อเกิดรายได้ให้บริษัทได้อย่างไร ?

ด็อกเตอร์ เพียวฮาร์ท  วูแมน

              คือดิฉัน กำลังจะให้ข้อมูลต่อไปว่า อาการหรือโรคกำพร้า ส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้นมีสมมุติฐาน มาจากความผิดปกติทางพันธุกรรม อย่างเช่น โรคซิสติกไฟโบรซิส(Cystic fibrosis)ภาวะเกิดพังผืดขึ้นหนาที่ถุงน้ำดีและกระเพาะปัสสาวะเป็นโรคที่เกิดจากความผิดปกติของโครโมโซม ;โรคเกาเซอร์(Gaucher  Disease) เป็นภาวะที่ร่างกายสะสมสารประกอบ เคอราซิน กรดไขมันชนิดหนึ่งสะสมไว้ในไขกระดูก,ม้าม,ปอด และตับทั้งนี้เนื่องจากพันธุกรรมของคนนั้นบกพร่องขาดเอ็นไซมชนิดหนึ่งที่ช่วยย่อยสลายกรดไขมัน หรือแม้แต่ โรคธาลัสซีเมีย (Thalassemia) โรคเลือดจากธาลัสซีเมียและโรคเลือดออกผิดปกติ ฮีโมฟีเลีย(Hemophilias)  ที่เกิดในประเทศไทยและประเทศกำลังพัฒนา,ด้อยพัฒนาทั้งหลายก็ถือเป็นความผิดปกติทางกรรมพันธุ์ด้วย ยังมีโรคกรำพร้าหายากอื่นๆอีกหลายชนิดที่ดิฉันจะยังไม่ขอกล่าว แต่ขอเรียนให้ทราบว่า แม้ผู้ป่วยเป็นโรคกำพร้าเหล่านี้  มีจำนวนน้อยประมาณ 6,000-200,000 รายก็จริง ซึ่งเป็นจำนวนผู้ป่วยแต่ละชนิดของโรคกำพร้าแต่ก็มีโรคกำพร้านี้หลายพันชนิดเมื่อรวมกันแล้วมีผู้ป่วยชาวอเมริกันทีมีความบกพร่องทางกรรมพันธุ์ถึง 20-25 ล้านคนเชี่ยวล่ะ แต่ ถ้าพิจารณาในแง่ของคุณธรรม มนุษยธรรมแล้วละก็  เราจะละเลยไม่สนใจต่อกลุ่มชนพวกนี้หรอกหรือ  ท่านทั้งหลายอย่าลืม อุดมการณ์และประณิธานของท่านผู้ก่อตั้งบริษัทของเราที่กำหนดไว้ว่า


เพื่อขจัดโรคภัยใดๆ และยังได้มาซึ่งสุขภาพดีทั่วหน้าทั้งชาวประชาเพื่อนร่วมโลก  หากพวกเรามุ่งให้ความเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์ส่วนน้อยมันจะกลับมาด้วยผลดีต่อสังคม เศรษฐกิจและความเจริญ ก้าวหน้าต่อวงการแพทย์ ซึ่งเราสามารถถ่ายโอนจากประเทศเจริญแล้วไปสู่ประเทศอื่น หากพวกท่านไม่ได้คิดคำนึงถึงเรื่องความเอื้ออารีมีเมตตาแล้วละก็ ขอให้คิดในแง่ความท้าทายต่อความเจริญก้าวหน้า ทางวิทยาศาสตร์ที่บริษัทของเราต้องเอาชนะให้ได้  เพราะว่าขบวนการวิจัยและผลิตยากำพร้านี้มักจะใช้ขบวนการไบโอเทคโนโลยีแป็นหลักเสียส่วนใหญ่ เป็นวิธีที่ทันสมัยและใหม่เป็นวิธีที่บริษัทยาชั้นนำเท่านั้นที่จะเข้าถึงเทคโนโลยีนี้ได้ และถือว่าก้าวหน้ากว่าการผลิตยาที่ใช้วิธีการสังเคราะห์หรือดัดแปลงโมเลกุลของยาแบบเดิม ๆที่ใช้กันอยู่โดยทั่วไป

ด็อกเตอร์ ยูเอส  ดอลลาร์เฟิซท

            แต่บริษัทของเราไม่ได้ถูกจัดตั้งไว้เพื่อกิจการงานกุศล ท่านทั้งหลายทราบกันดีถึงหลักการดำเนินธุรกิจพื้นฐานที่ว่า ด้วยทรัพยากรที่มีอยู่จำกัด หากจะลงทุนดำเนินกิจการใดๆ โครงการนั้นจะต้องถูกประเมินให้ได้ว่า จุดคุ้มทุนอยู่ตรงไหน เป็นเวลานานเท่าใดกว่าจะได้ผลตอบแทนกลับมาคืนทุนพอดี มันจะก่อประโยชน์อย่างไรกับเงินลงทุน ( Cost Effecttiveness )  บริษัทยาขนาดใหญ่อย่าง ดิโฮเวริด์ฟาร์มาซี หรือ บริษัทอื่น ๆ ที่มีปูมประวัติอันยาวนานมักจะสนใจผลิตยาเวชภัณฑ์สำหรับโรคที่เป็นกันมากเช่น โรคมะเร็ง,โรคความดันสูง,โรคอ้วน,โรคเครียด ความเสื่อมสภาพทางเพศ หรือโรคอื่นๆ โรคพวกนี้ทำรายได้จากการจำหน่ายยารักษาป้องกันได้มากมาย โรคบางอย่างเกิดกับผู้มีฐานะร่ำรวยโดยเฉพาะ บริษัทยาเวชภัณฑ์จะตั้งราคาจำหน่ายขายสูงมาก หลายเท่าจากต้นทุนก็ขายได้ ไม่เห็นต้องไปแคร์เห็นใจผู้ใด ทั่วโลกเขาก็ทำกันทั้งนั้น ดูจากรายงานของ องค์การแพทย์ไร้พรมแดน(Medicins Sans Frontier)ที่บอกว่า ระบบสาธารณสุขของโลกมีกฎช่องว่าง 10/90 คือว่าได้มีการประเมินดูแล้วว่าทั่วโลกประเทศต่าง ๆ ใช้เงินงบประมาณรวมกันแล้วไม่ถึง ร้อยละ 10ในการงานสาธารณสุขค้นคว้าวิจัยเพื่อการบำบัดรักษาทั้งการป้องกันโรคต่างกิจการที่แพร่กระจายคุกคามที่เป็นปัญหาอยู่เกือบ 90 เปอร์เซ็นต์ทั่วภูมิภาคโลกที่เราเรียกว่า โรคที่มีอยู่ทั่วโลก(Global disease)ดั่งนี้ชี้ให้เห็นว่าหลายประเทศใช้เงินทุน กระจุกตัวมุ่งแต่แก้ไขโรคบางโรคงานสาธารณสุขบางอย่างเท่านั้น
                  การวิจัยค้นคว้าเพื่อผลิตยาใหม่ขนานหนึ่งนั้นต้องใช้เงินทุนมากกว่า 100 ล้านดอลลาร์และใช้เวลาเป็นระยะ 10-15ปีที่เดียว ขอให้พวกท่านพิจารณาให้ดี ลงทุนด้วยเงินมากมายขนาดนี้เสียเวลานานหลายปีขนาดนั้น เพื่อผลิตยากำพร้าที่ผู้ป่วยน้อย ตลาดเล็กแคบ จะคุ้มกันหรือไม่ ?

ด็อกเตอร์ เพียวฮาร์ท  วูแมน

              บทบัญญัติยากำพร้า ( The Orphan Drug Act ) ซิค่ะท่าน ช่วยได้ ! กฎหมายที่ออกครั้งแรกในสมัยท่านประธานาธิบดี โรแนลรีแกนในปี ค.ศ.1983 ออกมาเพื่อส่งเสริม จูงใจให้บรรดา บริษัท นักอุตสาหกรรมวงการยาและเวชภัณฑ์สนใจลงทุนวิจัยผลิตยากำพร้าออกสู่ตลาดเพื่อสนองต่อผู้ป่วยที่มีจำนวนน้อยได้มีโอกาสเข้าถึงยา  บทบัญญัตินี้จะช่วยให้บริษัทของเราประหยัดทั้งเงินลงทุนและทั้งระยะเวลาที่ได้ใช้ไปในการวิจัยลงได้อย่างมาก รัฐบาลมีมาตรการช่วยเหลือ 3 ประเด็นหลักคือ
                1 .ยกเว้นหรือลดหย่อนภาษีเงินทุนที่ใช้ในการทดลองยาทางคลีนิด
                   2. ผ่อนปรน,อนุญาตให้ปรับเปลี่ยนขั้นตอนรูปแบบการทดลองผลของยาทางคลีนิด เพื่อไม่ต้องใช้อาสาสมัครผู้ป่วยที่มาทดลองยาครบตามจำนวนตามที่หลักเกณฑ์สากลกำหนดไว้ เป็นการล่นระยะเวลาลงมา อีกทั้งรัฐอาจส่งผู้เชี่ยวชาญมาช่วยในการทำการทดลองผลของยาทางคลีนิดด้วย หากถูกร้องขอ
                  3. ให้สิทธิพิเศษทางการตลาดแก่ผู้ผลิตเป็นเวลา 7 ปีเปรียบเหมือนสิทธิบัตรยาทำให้บริษัทยา ดำเนินการวิจัยผลิตโดยไม่ต้องกลัวว่าจะมีคู่แข่งมาผลิตยาหรือผลิตภัณฑ์ที่เหมือนกัน
                นอกจากมาตรการช่วยเหลือ 3 ประเด็นที่ดิฉันกล่าวมานี้  ขบวนการที่ใช้ผลิตก็ช่วยลดต้นทุนให้เราด้วยนะค่ะ ท่านค่ะ วิธีการผลิตโดยใช้เทคโนโลยีไบโอเทคนี้ทำให้ได้ผลผลิตสูงมากกว่าวิธีการแบบเดิม อย่างเช่น กรรมวิธีที่เรียกว่า ขบวนการ รีคอมบิแนนท์ ( Recombinant ) ’การนำ ดี.เอน.เอ ของมนุษย์มาแยกหรือโคลนนิ่งยีน รหัสทางพันธุกรรม แล้วไปปะต่อปะกบเข้าไปในเซลของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมหรือเซลของแบคทีเรียแล้วนำไปเลี้ยงในห้องทดลองให้มันสร้างโปรตีนชนิดที่เราต้องการชนิดเดียวกับโรคพันธุกรรมบกพร่องที่ร่างกายไม่ผลิต  มาใช้เป็นยา ทั้งนี้จากคำสั่งส่วนของรหัสพันธุกรรมที่เราตัดนำมาโคลนนั้นเองเป็นผู้กำหนด วิธีนี้สามารถขยายให้ปริมาณโปรตีนได้จำนวนมาก ทำให้ต้นทุนผลิตถูกลงกว่ากรรมวิธีแบบเดิมที่ใช้เพียงการสกัดโปรตีนจากเนื้อเยื่อคนหรือสัตว์  นอกจากนี้ไบโอเทคโนโลยีที่ค้นคิดพัฒนาขึ้นมาเพื่อผลิตยากำพร้านั้นสามารถถ่ายทอดไปสู่วงการอุตสาหกรรมยาและการแพทย์อื่นทั่วไปได้อีกด้วย     ตัวอย่างเช่น   ขบวนการ พีไกเลชั่น  (Pegylation) ’    เป็นการเติมสารไขที่เรียกว่า โพลีเอทไธลีนไกคอล ( Polyethyleneglycol ) ให้กับโปรตีนจะทำให้มันสามารถหน่วงเหนี่ยวการขจัดยาออกจากกระแสโลหิตของร่างกายและกลบซ่อนมันจากการโจมตีของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย  ต่อมา เราพบว่า
เราสามารถนำขบวนการนี้มาใช้ในการผลิตยารักษาโรคตับอักเสบชนิด ซี ได้ด้วยถือว่า เป็นการกระตุ้นรูปแบบการรักษาแบบใหม่ในวงการแพทย์  
 

ประธานคณะกรรมการบริหารฯ

            แต่  ด็อกเตอร์ !มันจะไม่เสี่ยงต่อภาพพจน์ของบริษัทของเราหรอก หรือ ? ผมทราบมาว่า จากการออกบทบัญญัติฉบับนี้ เท่ากับเป็นการส่งเสริมให้วงการอุตสาหกรรมเภสัชใช้ขบวนการกรรมวิธีทางไบโอเทคโนโลยีแพร่หลายมากยิ่งขึ้น ทั้งที่ในสังคมเรายังมีการถกเถียงถึงประเด็นว่าจะผิดต่อจริยธรรมหรือไม่ จะต้องมีกลุ่มชนบางพวก แสดงออกคัดค้านเราแน่ พวกนี้เห็นว่าเป็นการก้าวรุกล้ำธรรมชาติอย่าง วิธีการโคลนนิ่งก็ดี,การเพาะเลี้ยงเซลต้นแบบและนำมาใช้,การตัดต่อยีนรหัสพันธุกรรมแล้วนำมาผสมข้ามเผ่าพันธุ์ระหว่างสัตว์ต่อสัตว์หรือมนุษย์ต่อมนุษย์หรือสัตว์กับมนุษย์ กรรมวิธีทางไบโอเทคเหล่านี้มีการดำเนินการเกี่ยวข้องไม่วิธีใดก็วิธีหนึ่ง  เราจะตอบประเด็นเหล่านี้กับสังคมได้อย่างไร ?การคัดเลือกพันธ์มนุษย์ก็ดีการทำลายชีวิตของตัวอ่อนหรือเซลตัวอ่อนที่จะเป็นคนก็ดี มันไม่เป็นการผิดต่อธรรมชาติขัดต่อพระเจ้าหรอกหรือ เรากำลังจะเปลี่ยนสัตว์ให้เป็นคนดำรงตนให้เป็นพระเจ้า

ด็อกเตอร์ ยูเอส  ดอลลาร์เฟิซท

            ก็นั่นนะซิครับ !ผมเห็นด้วยกับท่านประธานฯและขอเสริมอีกว่า แม้รัฐฯตามนัยแห่งบทบัญญัติฉบับนี้จะผ่อนปรนขบวนการทดสอบความปลอดภัยและประสิทธิภาพของยาทางคลีนิดให้ใช้ระยะเวลาสั้นลงและจำนวนอาสาสมัครผู้ป่วยทดลองน้อยลงก็ตาม  มันจะไม่เป็นการผิดจรรยาบรรณว่าด้วยการทดลองกับมนุษย์ได้หรือไม่ ผลที่ได้จากการทดสอบล่ะจะน่าเชื่อถือได้เพียงไร ?

ด็อกเตอร์ เพียวฮาร์ท  วูแมน

            ก็เป็นประเด็นที่ดิฉันยอมรับค่ะ ในเรื่องขบวนการทดสอบผลของยาทางคลีนิดมันเป็นความจริงที่ว่า เราไม่อาจจัดหาอาสาสมัครผู้ป่วยได้ครบจำนวนตามเกณฑ์มาตรฐานกำหนดตามแบบแผนสากลได้ อย่างกรณีทดสอบผลทางคลีนิด ระยะเฟสที่ สาม กำหนดให้ต้องใช้อาสาสมัครผู้ป่วยถึง 300-30,000 คนผู้ป่วยโรคกำพร้าบางชนิด บางโรค บางประเภทมีจำนวนน้อยมากไม่ถึงพันคน อย่างไรก็ดีมาตรฐานกำหนดไว้เป็นตัวเลขเป็นช่วงระยะเพียงแต่ว่า เรามีข้อจำกัดไม่อาจทำได้ถึงเกณฑ์สูงสุดดีที่สุดได้ แต่พวกท่านอย่าลืมว่า การผ่อนปรนทำนองนี้ก็มีอยู่แล้วในเรื่องการพิจารณายาใหม่โดยด่วน เพื่อให้เป็นกลไกพิเศษสำหรับการขอขึ้นทะเบียนยาใหม่ที่เป็นประโยชน์ต่อการบำบัดรักษาโรคที่รุนแรง เช่นโรคมะเร็ง,โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง ( โรคเอ็ดส์ )แม้นขั้นตอนบางอย่างจะถูกยกเว้นเพื่อความรวดเร็วในการพัฒนายาแต่เรายังคงถ่วงดุลด้วยมาตรการความปลอดภัยของผู้ป่วยและหลักการของการกำกับควมคุมยา  เราจะให้บริษัทผู้พัฒนาต้องทำการทดสอบต่อไปหลังจากได้รับอนุมัติขึ้นทะเบียนยาแล้ว ที่เรียกว่า Post Marketing Clinical Trial การทำทดสอบผลทางคลีนิคหลังวางออกสู่ตลาดแล้ว หากไม่สามารถแสดงให้เห็นว่า ยานั้นมีประโยชน์รักษาแก่ผู้ป่วยได้ คณะกรรมการอาหารและยา มีสิทธ์ถอนยานั้นออกจากท้องตลาดได้เร็วและง่ายกว่ากรณีปกติทั่วไปด้วย
                ส่วนในเรื่องภาพพจน์บริษัทที่ท่านประธานฯติงมานั้น ดิฉันต้องขอให้ท่านประธานฯได้พิจารณาว่ามันเป็นแนวคิด ทัศนะคติของแต่ละกลุ่มชนที่มีพื้นฐานทางวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์สังคมต่างกันทำให้เกิดแนวคิดปรัชญาค่านิยมต่อ ขบวนการไบโอเทคโนโลยีไม่เหมือนกัน อย่างไรก็ดีเมื่อสิ่งที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์นั้นผ่านขบวนการทางสังคมกลั่นกรองอย่างถูกต้องเหมาะสมตามครรลองของมันแล้ว อย่างบทบัญญัติยากำพร้าได้ถูกตราออกเป็นกฎหมายแล้ว น่าจะดูผลลัพธ์จากการนำไปใช้สักระยะเวลาหนึ่ง ภายหลังก็อาจจะถูกปรับเปลี่ยนอีกก็ได้ นี่ประการหนึ่ง  และอีกประการหนึ่งหากเราจะพิจารณาแบบชั่งน้ำหนักดูสองด้านเปรียบเทียบกันระหว่างปัญหากับการแก้ไข แล้วเลือกทำในสิ่งที่ดีที่สุด อย่างเช่น
                  ถ้าปล่อยให้ผู้ป่วยโรคกำพร้าเหล่านี้ ไม่ได้รับการรักษา ทนทุกข์ทรมานต่อไปโดยไม่มียารักษาโรค ทั้งที่เราสามารถผลิตยารักษานั้นได้เพียงแต่ว่าเราต้องก้าวข้ามข้อถกเถียงประเด็นทางจริยธรรมที่เกิดจากกรรมวิธีของไบโอเทคนิคที่นำมาใช้ในการผลิตไปบ้าง
                อีกกรณีหนึ่ง ตอนนี้วิทยาการก้าวหน้าเราสามารถตรวจสแกนหาความผิดปกติทางพันธุกรรมบางโรคบางชนิดที่เรายังไม่มียารักษาและหากพบข้อบกพร่องนั้นในสายเลือด ทางแก้หรือการป้องกันก็คือ เลือกตั้งครรภ์ เลือกคลอด หรือถึงกับไม่ต้องแต่งงานกันกับคนที่บกพร่องทั้งที่มีความรักต่อกัน เหล่านี้ถือว่าเป็นการกำหนดให้มนุษย์คัดเลือกพันธุ์ เป็นการห้ามชีวิตเกิด หรือทำลายชีวิตไปเสียก่อนเป็นตัวอ่อน มันจะถือว่าเป็นการข้องแวะรบกวนธรรมชาติมากไปกว่า ถ้าให้เขาเกิดมาแล้วดำเนินการรักษาด้วยยาที่ผลิตขึ้นจากขบวนการไบโอเทคล่ะ ด้านไหนจะดีกว่ากัน ? ด้านไหนจะเหมาะสมกว่ากัน ?
  
ท่านประธานคณะกรรมการบริหาร ฯ           
            ผมพอเข้าใจ เหตุผลการโต้แย้งและชี้แจงของด็อกเตอร์ บ้างแล้ว การอธิบายของท่านพอรับฟังได้บ้าง โดยส่วนตัวผมแล้วในฐานะประธานกรรมการบริหารบริษัทรู้สึกคล้อยตามท่านเสียแล้วและอาจนำไปสู่ภาคปฏิบัติ เราน่าจะยอมรับได้ กำหนดลงไปในแผนงานโครงการลงทุนระยะยาวได้ แต่! ผมขอให้ด็อกเตอร์นำเสนอลงรายละเอียดต่อไปในการประชุมคราวหน้า เพื่อให้กรรมการท่านอื่นได้มีโอกาสทบทวนสักระยะหนึ่ง สำหรับวันนี้ผมขอให้ที่ประชุมดำเนินในวาระอื่นไปก่อน

ประเทศ       ญี่ปุ่น
เวลา             ค.ศ. 1993
สถานที่       รัฐสภาญี่ปุ่น ได้ออกกฎหมาย  เพื่อส่งเสริม การผลิตยากำพร้าในประเทศของตนใช้ชื่อว่า Orphan Drug Law โดยเนื้อหาสาระของกฎหมายใกล้เคียงกับบทบัญญัติยากำพร้าของ สหรัฐอเมริกา

ประเทศ       สิงคโปร์และออสเตรเลีย
เวลา             ค.ศ. 1997   ; ค.ศ.1998
สถานที่        รัฐสภาของทั้งสองประเทศ ได้ผ่านและออกกฎหมายสนับสนุนเพื่อการผลิตยากำพร้าทำนองเดียวกัน

ประเทศ         กลุ่มสมาชิก ภาคพื้นยุโรป อียู
เวลา              ค.ศ. 2000
สถานที่        รัฐสภาสหภาพยุโรปได้อนุมัติผ่านกฎหมายส่งเสริการผลิตยากำพร้าที่เรียกว่าOrphan Medicine Product Regulation มีใจความสนับสนุนผู้ผลิตยากำพร้า เหมือนกับของสหรัฐอเมริกาแต่คำนิยามของยากำพร้าแตกต่าง ไปบ้าง ยากำพร้าของสหภาพยุโรปให้รวมถึง ยาที่ใช้บำบัดรักษาโรคที่เกิดในประเทศที่สามด้อยพัฒนาหรือกำลังพัฒนาแต่ไม่เกิดหรือระบาดในยุโรป เช่น โรคไข้มาเลเรีย ด้วย ทั้งนี้แต่ก่อนสหภาพยุโรปมักจะต่อต้านเกี่ยวกับผลผลิต จี โอดัดแปลงทาง


พันธุกรรม แต่ภายหลังการออกกฎหมายนี้ให้เหตุผลว่าเพื่อพัฒนาศักยภาพในการผลิตยาที่รักษาบำบัดผลจากอาวุธทางชีวภาพ

ประเทศ     ไทย
เวลา            ปัจจุบัน ปลายปี ค.ศ.2013
สถานที่       รัฐสภาและรัฐบาลการดำเนินการเกี่ยวกับการส่งเสริมการผลิตยากำพร้า???????งงงง


เอกสารอ้างอิง
1 Orphan Drug Law Mature into Medical Mainstay  : FDA Consumer Magazine May-June 1999
2  The Orphan Drug Backlash : Scientific America May 2003
3  The Orphan Drug Act ( as amended ): FDA US: http//www.fda.gov
4  Bioethic Topic search by Google
5  คำประกาศ เฮลซิงกิ ของสมาคมแพทย์โลกแห่งประเทศไทยและหลักเกณฑ์จริยธรรมในการทำวิจัยในคน


ไม่มีความคิดเห็น: