จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันจันทร์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2556

เปรียบมวยเทียบม้าระหว่างกระท่อมกับกัญชา



กระท่อม



    ลักษณะต้นและถิ่นกำเนิด    กระท่อมเป็นไม้ยืนต้นขนาดปานกลางเป็นไม้เนื้อแข็งสูง 4-16 เมตร มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า มิตราไจนา สเปซิโอซา คอร์ท (Mitragyna Speciosa Korth) จัดอยู่ในตระกูล รูเบียซีอี (Rubiaceae ตระกูลเดียวกับเข็ม
 ถิ่นกำเนิดเดิมอยู่ในป่าเขตร้อนแถบเอเซียตะวันออกเฉียงใต้แต่ปัจจุบันสามารถปลูกกันได้ทุกพื้นที่ ที่พบในประเทศไทยมีอยู่๓ พันธุ์  ใบคล้ายใบกระดังงา มีชนิดก้านใบแดง และใบเขียว แผ่นใบกว้าง 5-10 ซม.ยาวประมาณ 8-14ซม.รสขมเฝื่อน       ในประเทศไทยมีการนำมาใช้เป็นยาแก้โรคบิด ท้องร่วง และปวดมวนท้อง ชาวนานิยมบริโภคโดยการเคี้ยวใบสด หรือเอาใบมาย่างให้เกรียมและตำผสมกับน้ำพริกรับประทานเป็นอาหาร เพื่อให้มีแรงทำงานและสามารถทนตากแดดอยู่กลางแจ้งได้เป็นเวลานานโดยไม่ รู้สึกเหนื่อย
  สรรพคุณทางยาสมุนไพร  ชาวบ้านชาวพื้นเมืองในไทย พม่า มลายู  เขมร อินโดนีเซียใช้เป็นยาแก้โรคบิค ท้องร่วง แก้ไอ นิยมนำใบสด หรือย่างให้เกรียมเคี้ยวกินทำให้มีแรง สารถตากแดดทนทำงานกลางแจ้ง  ตำราแพทย์แผนโบราณ ใช้ใบกระท่อมปรุงเป็นยา เรียกว่า ประสะกระท่อม ใช้รักษาโรคบิด แก้ปวดมวนท้อง ปวดเบ่ง ปวดเมื่อยร่างกาย ท้องเฟ้อ ท้องเสีย ท้องร่วง ทำให้นอนหลับ และระงับประสาท ที่กล่าวว่ามีประสะกระท่อมนั้น แสดงว่าในใบกระท่อมนั้นมีพิษอยู่ด้วย คนโบราณนั้น หากยาชนิดไหนที่มีพิษจะมีการประสะ คือ ทำให้พิษอ่อนลง และสามารถทำได้หลายรูปแบบ อาทิต้ม การคั่ว หรือผสมกับสารตัวอื่นในปริมาณที่เท่ากัน
สารสำคัญ   ใบกระท่อมประกอบด้วยแอลคาลอยด์ทั้งหมดประมาณร้อยละ ๐.๕ ในจำนวนนี้เป็นมิตราไจนีน (Mitragynine) ร้อยละ ๐.๒๕ ที่เหลือเป็น สเปโอไจนีน (Speciogynine) ไพแนนทีน (Paynanthine) สเปซิโอซีเลียทีน (Speciociliatine) ตามลำดับ ซึ่งชนิดและปริมาณแอลคะลอยด์ที่พบแตกต่างกันตามสถานที่ และเวลาที่เก็บเกี่ยว สารแอลคะลอยด์ Mitragynine อยู่ในใบนี้ มีฤทธิ์ระงับอาการปวด เช่นเดียวกับมอร์ฟีน โดยมีความแรงต่ำกว่ามอร์ฟีนประมาณ ๑๐ เท่า และมีข้อดีกว่ามอร์ฟีนอยู่หลายประการ กล่าวคือ     ไม่กดระบบทางเดินหายใจ, ไม่ทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน, พัฒนาการในการติดยาเกิดช้ากว่ามอร์ฟีนหลายปี,. ไม่มีปัญหาเรื่องอาการอยากได้ยา (Craving ) อาการขาดยาไม่ทรมานเท่ามอร์ฟีน และสามารถบำบัดได้ง่ายกว่ายากล่อมประสาท ระยะ ๒ ๓ สัปดาห์ ขณะที่ผู้ติดมอร์ฟีนอาจต้องพึ่ง Mitragynine ซึ่งเป็นสารเสพติดเช่นเดียวกัน เป็นเวลานาน ๓ เดือนขึ้นไป. ใช้บำบัดอาการติดฝิ่นหรือมอร์ฟีนได้
พันธทางกฏหมาย     ยังไม่ปรากฏว่ากระท่อมและสาร Mitragynine ถูกจัดให้อยู่ในตารางการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยยาเสพติดและ ไม่มีสนธิสัญญาที่เป็นข้อตกลงระหว่างประเทศห้ามการปลูกเหมือนฝิ่น  แต่บางประเทศในยุโรปเช่น เดนมาร์ก ลัตเวีย ลิโทเนีย โรมาเนียและสวีเดน ให้อยู่ในการควบคุม  สำหรับประเทศไทยจัดเป็นยาเสพติดครั้งแรกตาม พ.ร.บ.พืชกระท่อม พ.ศ.๒๔๘๖เนื่องจากฝิ่นที่รัฐเป็นผู้ผูกขาดผลิตฝิ่นสุก ฝิ่นดิบ มีราคาแพง ทำให้คนหันมาสูบกระท่อมแทนฝิ่น ดังนั้น จึงเห็นได้ว่าแท้ที่จริงการตรา พ.ร.บ.พืชกระท่อม พ.ศ. ๒๔๘๖ มีเหตุผลและหลักการทางการค้าทางภาษีของรัฐ     ปัจจุบันพืชกระท่อมถูกควบคุมโดย พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ เป็น ยาเสพติดให้โทษประเภท ๕   
ความนิยมในปัจจุบัน     กระท่อมเพิ่งมาปรากฏเป็นยา(เสพติด)ในตลาดระดับทั่วโลกเมื่อไม่กี่ปีมานี้เองเนื่องเพราะมีถิ่นกำเนิดแถบเอเซียตะวันออกเฉียงใต้เดิมก็ใช้กันอยู่กันในชาวพื้นเมืองของแต่ละประเทศ  ในไทยนิยมใช้แถบภาคใต้  ปัจจุบันจากการสำรวจ ของ EMCDDA(European Monitoring Centre for Drugs and Drug Addiction)แบบคร่าวๆพบว่ามีการ นิยมซื้อขายทางออนไลน์  ร้านค้าทางอินเตอร์เนต ในราคา 6 ถึง15ยูโร ต่อกระท่อมแห้ง 10กรัม
แนวโน้มการนำมาใช้เป็นยาทางการแพทย์
มีหลายประเทศจะนำกระท่อมมาเป็นยาที่ยอมรับตามกฏหมาย โดยเฉพาะใช้เป็นยาระงับอาการปวดแทนฝิ่น มอร์ฟืนหรือใช้เป็นยาถอนอาการขาดฝิ่น เฮโรอีน แต่ก็ยังไม่พบผลการดำเนินการพิสูจน์ทางแพทย์ให้ยอมรับใช้เป็นยาแผนปัจจุบันมีแต่ข้อเสนอแนะให้ดำเนินการพิสูจน์เท่านั้น   ส่วนประเทศไทยในอดีตก็เคยมีการพิจารณาเรื่องทำนองนี้อยู่เหมือนกัน ในการประชุมวุฒิสภา ครั้งที่๒๔ (สมัยสามัญนิติบัญญัติ) เป็นพิเศษ  เมื่อวันอังคารที่    พฤศจิกายน  ๒๕๔๖ คณะ กรรมาธิการวิสามัญศึกษาผลดีและผลเสียของการบริโภคพืชกระท่อม เพื่อเป็นแนวทางในการเสนอว่าควรยกเลิกพืชกระท่อมออกจากยาเสพติดให้โทษประเภท ๕ ตามกฎหมายว่าด้วยยาเสพติดให้โทษหรือไม่ ได้ร่วมกันพิจารณาและสรุปเสนอกระทรวงสาธารณสุขแต่ก็ยังไม่เกิดการเปลื่ยนแปลงแต่อย่างใด  ท้ายสุดเมื่อต้นเดือน กันยายน พ.ศ.๒๕๕๖มีหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องกำลังทบทวนแก้ไขกฏหมายเกี่ยวกับพืชกระท่อม สนับสนุนให้พัฒนาเป็นยาต่อไป
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------อ้างอิง
๑.www.emcdda.europa.eu/publications/drug-profiles/kratom
๒.www.senate.go.th เว็ปไซด์ของ สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา
๓.ไม้เทศเมืองไทย สรรพคุณของยาเทศและยาไทย......หมอเสงี่ยม  พงษ์บุญรอด




กัญชา

               

ลักษณะต้นและถิ่นกำเนิด  กัญชามีชื่อสามัญ(สากล)ว่า เฮมฟ์(Hemp) , อินเดียนเฮมฟ์(Indian hemp),มาริกัวน่า(Marijuana),พอต(Pot)(เป็นศัพท์แสลง) และอื่นๆอีก ชื่อทางพฤษศาสตร์คือ Canabis Sativis และ Canabis Indica มีสองชนิด อยู่ในวงศ์แคนนาบาซี่ Canabaceae ส่วนที่ใช้ ยอดดอก ใบ เมล็ด ลักษณะ เป็นไม้ล้มลุกอายุ 1ปี สูงได้ถึง 6-12 ฟุตหรือมากกว่านั้น ลำต้นตั้งตรง ใบแคบเล็ก ประกอบเป็นใบประกอบด้วยใบ 3-7 ใบ ปลายใบแหลมขอบใบหยักเป็นซี่คล้ายใบสำปะหลัง มีดอกเป็นตัวผู้ ตัวเมียสีแกมเขียวออกแยกต้นกัน ผลขนาดเล็ก สีเขียวแกมเทาผิวเป็นมัน ถิ่นกำเนิด มีถิ่นกำเนิดเดิมอยู่ที่เอเซียกลางและเอเซียตะวันตกทางเหนืออินเดียและทางใต้ไซบีเรีย ปัจจุบันปลูกได้เจริญกว้างขวางในเขตป่าร้อนทั่วโลก
สรรพคุณทางสมุนไพร   กัญชาเป็นพืชที่มีประวัติศาสตร์ที่รู้จักกันยาวนานในฐานะพืชใช้ครอบจักรวาลมีคุณค่าในการให้เส้นใย และในฐานะของทั้งยารักษาโรคและสารเสพติดออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท แพทย์ชนบทไทยใช้ดอกกัญชารับประทาน แก้โรคเส้นประสาท นอนไม่หลับ เบื่ออาหาร แต่ผลเสียเมื่อรับประทานหรือสูบมากๆ ทำให้เส้นประสาทมึนชา  เห็นอะไรขบขันไปหมด ตกใจง่ายขลาดหวาดกลัว จากตำราโบราณของจีน เปอร์เซีย อินเดียและกรีก ให้ข้อมูลระบุตรงกันถึงคุณสมบัติทางการแพทย์และการออกฤทธิ์ทางจิตประสาทมานับหลายพันปีมาแล้ว  กัญชาได้เคยถูกใช้กันต่อเนื่องมาตลอดทั้งในฐานะยารักษาและยาเสพติดในหลายประเทศ อย่างเช่นในอเมริกา ถูกใช้มาจนถึงปลายศตวรรษที่18 จนถึงต้นศตวรรษที่19 โดยถูกใช้ในรูปของยาทิงเจอร์ใช้เป็นยาแก้ปวดเมื่อตอนแรก หลังจากขึ้นศตวรรษที่19 เช่นเดียวกับยาแอสไพริน(Aspirin)ความนิยมใช้กัญชาในฐานะยาก็เสื่อมลง ในปีค.ศ1930  สื่อหลายกลุ่มประโคมข่าวผลเสียของมันทำให้กัญญชาถื่อเป็นสิ่งผิดกฏหมายในหลายประเทศจนมาถึงปัจจุบันตั้งแต่นั้นมา  อย่างไรก็ตามการแพทย์ในปัจจุบันในหลายประเทศยังคงตระหนักยอมรับคุณค่าทางยาของกัญชาพืชไม้ล้มลุกนี้ มีการพัฒนาทางยืนพันธุกรรมคัดเลือกยืนที่ไม่ให้มีสารเคมีที่ออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทและเพื่อที่จะให้เส้นใยเพียงอย่างเดียว
สารสำคัญ  สารออกฤทธิ์ที่อยู่ในกัญชาเรียกว่า canabinoid มีอยู่ประมาณ 90 ชนิดแต่ที่สำคัญมีเพียง 3 ชนิด คือ canabidiol canabinol และ tetrahydrocannabinal (THC)ซึ่งเป็นตัวสำคัญที่แสดงฤทธิ์ทางยา เป็นสารตัวสำคัญที่ทำให้เกิดอาการเสพติด ถ้านำต้นกัญชาและยางของมันนำมาสกัดโดยการละลายได้น้ำมันเรียกว่าHash oil หรือ Hashish oil ในน้ำมันกัญชา นี้มีสาร Tetrahydrocannabinol หรือ THC มากที่สุด ประมาณ 60% ใช้บรรเทาอาการเจ็บปวดจากหลายๆ โรค  กัญชาโดยในเบื้องต้นจะออกฤทธิ์กระตุ้นประสาททำให้ ผู้เสพตื่นเต้น ช่างพูด และหัวเราะตลอดเวลา ต่อมาจะกดประสาททำให้ผู้เสพมีอาการคล้ายเมาเหล้าอย่างอ่อน เซื่องซึม และง่วงนอน หากเสพเข้าไปในปริมาณมากๆจะหลอนประสาททำให้เห็นภาพลวงตา หูแว่ว ความคิดสับสน ควบคุม ดังนั้นมันจึงออกฤทธิ์แบบผสมผสานกัน ทั้งกระตุ้นประสาท กดประสาท และหลอนประสาท ( 3 in 1 )
พันธทางกฏหมาย  ถ้าในระดับสากลแล้วกัญชาและยางกัญชาถูกจัดอยู่ในบัญชียาเสพติดให้โทษตามสนธิสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยเรื่องยาเสพติด(The United Nations Single Convention on Narcotic Drugs) และในหลายประเทศออกกฎหมายให้เป็นยาเสพติดให้โทษแต่ก็มีอีกหลายประเทศออกกฏหมายผ่อนปนหรืออนุญาติยอมรับกัญชาอย่างถูกต้อง  ในประเทศไทย กัญชาจัดเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 5 ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 เช่นเดียวกับกระท่อม มีการกำหนดโทษต่อ ผู้ เสพ ผลิต นำเข้า หรือส่งออกจำหน่ายหรือครอบครองเพื่อจำหน่าย
แนวโน้มการนำมาใช้เป็นยาทางการแพทย์
             มีการนำกัญชาและสารสกัดมาใช้ทางการแพทย์โดยเป็นยาแก้ปวดและยาอื่นๆ อุรุกวัยเป็นประเทศแรกของโลกที่ยอมรับมันอย่างถูกกฏหมายโดยรัฐควบคุมการปลูกและค้าขาย ขณะที่เนเธอร์แลนด์ ใช้เป็นยาตามใบสังแพทย์ รักษา multiple sclerosis ในแคนนาดาสารสกัดที่ชื่อว่า Sativex ก็ไดัรับอนุญาติใช้ทางการแพทย์ , มีอีกหลายประเทศกำลังผ่อนปรน หรือแก้ไขกฏหมายให้นำกัญชามาใช้อย่างถูกต้องและปลอดภัยเช่น โคลัมเบีย,สาธารณรัฐเช็กโก,อาเจ็นตินา,เม็กซิโก นักวิจัยของสเปนพบว่ามันอาจพัฒนาทำเป็นยาฆ่ามะเร็งเม็ดเลือด  ขณะนี้ในสหัฐอเมริกามี 18 รัฐที่ถือว่ากัญชาถูกต้อง มีอิสระในการใช้มากน้อยต่างกันภายใต้กฎควบคุมของรัฐนั้นๆ  ทำให้คณะกรรมการควบคุมยาเสพติดระหว่างชาติของสหประชาชาติแจ้งเตือนสหรัฐอเมริกาว่าจะเป็นการละเมิดสนธิสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยเรื่องยาเสพติด สำหรับประเทศไทยยังไม่มีข่าวใดๆเกี่ยวกับเรื่องนี้
                        หากนำข้อมูลที่ผู้เขียนได้นำเสนอไปแล้วจะสรุปเปรียบระหว่างกัญชากับกระท่อม ก็ได้ว่าทั้งคู่ในประเทศไทยถือเป็นยาเสพให้โทษประเภท5 ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 แต่บทลงโทษของกระท่อมจะอ่อนกว่ากัญชา(กัญชามีสินบนนำจับส่วนกระท่อมไม่มี)  กัญชาเปรียบได้กับแชมป์มวยสากลรู้จักดังกันไปทั่วโลก กระท่อมแชมป์มวยอาเซียนดังในภูมิภาคแถวนี้(ตอนนี้เริ่มเข้าสู่สากล) กัญชามีชื่ออยู่ในบัญชียาเสพติดให้โทษตามสนธิสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยเรื่องยาเสพติด(The United Nations Single Convention on Narcotic Drugs) แต่กระท่อม ไม่,ทั้งกระท่อม กัญชา มีการพัฒนานำมาเป็นยาแก้ปวด, กระท่อมมีฤทธิ์น้อยกว่ามอร์ฟืน(เท่ากับเศษหนึ่งส่วนสิบ) สารในกัญชามีฤทธิ์แรงกว่า ในบ้านเรามีความเคลื่อนไหวให้ทบทวนการนำกระท่อมนำมาพัฒนาใช้ทางการแพทย์และผ่อนปรนกฏข้อบังคับ(แต่ยังไม่เกิดผล) มากกว่ากัญชา

อ้างอิง
1 Desk Reference to Nature’s Medicine by Steven Foster and Rebecca L. Johnson
3 Fortune Aprill 8, 2013
4 .ไม้เทศเมืองไทย สรรพคุณของยาเทศและยาไทย......หมอเสงี่ยม  พงษ์บุญรอด


ไม่มีความคิดเห็น: