จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันศุกร์ที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2557

ยาแผนโบราณที่ไม่ควรใช้


   สารหนู (Arsenic)

                  ในระหว่างปี ค.ศ. 1820-1870(พ.ศ.2373-2413) มีรายงานการตายและเกิดความเจ็บป่วยของผู้คนในประเทศอังกฤษและทวีปยุโรป ซึ่งมักเกิดกับผู้คนที่อาศัยอยู่ในห้องที่ใช้กระดาษติดฝาผนังที่ผลิตพิมพ์ด้วยสีเขียวที่มีชื่อว่า  Scheele ‘s green  เรื่องที่โจษจันและ กล่าวขานกันมาก ก็คือการสิ้นพระชนน์ของมหาราชนโปเลียนเมื่อเดือน พฤษภาคม 1821 บนเกาะ เซนส์ เฮเลน่า (St.Helna)  ว่าอาจถูกวางยาพิษ  เพราะในเวลาต่อมามีนักวิทยาศาสตร์ได้วิเคราะห์ค้นพบ สารหนูปริมาณสูงในเส้นผมของคนรับใช้ส่วนพระองค์ แต่ก็หาผลสรุปไม่ได้ว่าถูกลอบปลงพระชนท์อย่างตั้งใจเพราะมีนักวิทยาศาสตร์ท่านหนึ่งสงสัยว่ากระดาษติดฝาผนังสถานที่พำนักกักขังนโปเลียนอาจใช้สีเขียว Scheele ‘s green  ด้วยซึ่งในเวลานั้น กระดาษติดฝาผนังที่มีจำหน่ายนั้นพบสารหนูแทบทั้งสิ้น ในปีค.ศ.1815 นักเคมีชาวเยอร์มันชื่อ Leopold Gmelin  ได้เขียนรายงานลงในหนังสือพิมพ์เบอร์ลินว่าได้ พบอันตรายของกระดาษฝาผนังที่พิมพ์ด้วยสีเขียวนี้มันจะส่งกลิ่นคล้ายหนูอยู่ในห้องโดยเฉพาะเมื่อผนังมีความชื้น เขาคาดคิดว่า มันเป็นผลมาจากไอของสารประกอบสารหนู Arsenic Compound  สารหนูอยู่ในรูปก๊าซ (As3) ประกอบด้วย อะตอมสารหนูหนึ่งอะตอมและอะตอมของไฮโดรเจนสามอะตอม อันตรายเมื่อสูดดมมันเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมงจะป่วยเริ่มด้วยอาเจียรและสั่นและเสียชีวิตภายในระยะ9วันต่อมา

 รูปร่างลักษณะคุณสมบัติ       อันที่จริงสารหนูเป็นธาตุกึ่งโลหะที่มีลักษณะเป็นผงโลหะสีเทา มีมากเป็นอันดับที่20ของธาตุที่พบบนโลกใช้สัณญลักษณ์ว่า As มีเลขอะตอม 33 (1 โมลกุลประกอบด้วยอะตอม 33 อะตอม) มีมวลอะตอมเท่ากับ74.9 สามารถพบได้ในสิ่งมีชีวิต พืช สัตว์และตามธรรมชาติ และทั้งเกิดจากฝีมือมนุษย์ โดยการชะล้างแร่หินที่มีสารหนูเป็นองค์ประกอบ เช่น อาร์ซีโนโพไรท์ พบได้ตั้งแต่ปริมาณ 0.1-40 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม ยังพบได้ตามแหล่งน้ำธรรมชาติ ทะเลสาบ แม่น้ำ น้ำบ่อ  การทำเหมืองแร่ ถลุงโลหะ การใช้ปุ๋ย ยาฆ่าแมลงในการเกษตร เป็นการช่วยเพิ่มปริมาณสารหนูมากขึ้น






ภาพจาก Wikimedia.org

การเข้าสู่ร่างกาย    สารหนูสามารถเข้าสู่ร่างกายได้โดยการสัมผัสทางผิวหนัง การหายใจสูดเข้าไป การรับประทานน้ำดื่มทีมีการปนเปื่อนของสารหนู โดยส่วนใหญ่แล้วสารหนูเข้าสู่ร่างกายจากการบริโภคอาหารแล้วจะดูดซึมผ่านทางเดินอาหารมากกว่าวิธีอื่น และเมื่อมันถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายแล้วจะถูกขจัดออกจากร่างกายอย่างรวดเร็ว จากการศึกษาพบว่าปริมาณร้อยละ 80-90 มันจะถูกขจัดออกจากร่างกายทางปัสสาวะภายใน 2 วัน

อันตรายของสารหนู   พิษของสารหนู นั้นมีทั้งแบบเฉียบพลัน(Acute toxicity) และ เรื้อรัง(Chronic Toxicity) อาการเฉียบพลัน  ทำให้เกิดการระคายเคืองต่อเนื้อเยื่ออวัยวะที่สัมผัสกับสารหนูและอาจทำให้คลื่นไส้ อาเจียนเป็นตะคริว กล้ามเนื้อเกร็ง การแซกซ้อนเกี่ยวกับการทำงานของหัวใจและเสียชีวิตจากการทำงานล้มเหลวของหัวใจ ส่วนอาการเรื้อรังเกิดจากการได้รับสารหนูติดต่อกันเป็นเวลานาน สารนี้จะทำให้เกิดแผลเป็นหรือเป็นรูที่ช่องจมูก ผิวหนังหนาขึ้นมีรอยด่างดำที่ผิวหนัง อาจมีเส้นสีขาวบนเล็บ นอกจากนี้สารนี้ยังทำให้เกิดอาการชาตามปลายมือปลายเท้า มีความรู้สึกแสบร้อนมีอาการอ่อนเพลียของแขนขา และอาจเป็นมะเร็งผิวหนังและปอด  รวมทั้งมีผลต่อทารกในครรภ์ทำให้กลายพันธ์ได้ ปริมาณสารหนูที่คนกินแล้วเป็นพิษ ถึงขั้นเสียชีวิตอยู่ในช่วง 1.5-500 มิลลิกรัมต่อนำหนักตัว1 กิโลกรัม

การรักษา    กรณีเป็นพิษเฉียบพลัน รีบล้างท้องโดยเร็วหากเกิดจากรับประทานเข้าทางปากให้รีบกินสารดูดซับสารหนู อย่างเช่น อัลตราคาบอน  ป้องกันและรักษาภาวะการช็อกเนื่องจากการสูญเสียน้ำจากการอาเจียนและท้องร่วง และให้ใช้ยาที่ดึงสารหนูออกจากร่างกาย    รวมถึงการล้างไตด้วยถ้าจำเป็น   หากเจ็บป่วยเนื่องจากเป็นพิษแบบเรื้อรัง หาสาเหตุว่าได้รับจากกรณีไหนแล้วหยุดยับยั้งไว้เช่น สงสัยว่าเนื่องจากการกินสมุนไพร ยาแผนโบราณที่อาจมีการปนเปื้อนหรือผสมสารหนูก็หยุดกินหยุดใช้  หรือหากคิดว่าเกิดจากสูดดมกลิ่นไอที่ระเหยมาจากสีกระดาษติดฝาผนังบ้าน(wall paper)ที่มีส่วนของสารประกอบสารหนูก็ต้องถอดเปลื่ยนออก อะไรทำนองนี้ แล้วให้แพทย์รักษาตามอาการ แพทย์อาจพิจารณาใช้ยาจับดึงสารหนูออกจากร่างกายในกรณีจำเป็น ตัวอย่างยาที่ใช้กันในปัจจุบันได้แก่ Dimercaprol,SuccimerและPericillamine ยาเหล่านี้เป็นยาหาซื้อตามท้องตลาดยากมีราคาแพงภาษาทางการแพทย์เภสัชเรียกว่า ยากำพร้า(Orphan drug)

                    แต่เดิมในอดีตสารหนูถูกบรรจุอยู่ในตำรับยาของชนชาติต่างๆ ไม่ว่า ฝรั่งยุโรป อาหรับ เอเซีย จีน อินเดีย แม้แต่ไทย ยาแผนโบราณก็มีการกล่าวถึง ใช้ชื่อ สารหนู โดยตรง หรืออยู่ในชื่อ หรดาลกลีบทองหรือหรดาแดงบ้าง (ทั้งสองชนิดเป็นสารประกอบของสารหนูกับแร่กำมะถัน) ปัจจุบันพบว่ามันให้โทษอันตรายกว่ามาก จึงไม่แนะนำให้ใช้และขอห้ามใช้เป็นยาโดยเด็ดขาด อย่างไรก็ดีมีรายงานจากหน่วยราชการกระทรวงสาธารณสุขเสมอๆว่าตรวจพบ การปนเปื้อนสารหนู ในวัตถุดิบสมุนไพรหรือผลิตภัณฑ์สมุนไพรสำเร็จรูปที่มีจำหน่ายในตลาดเมืองไทย จึงเป็นหน้าที่ของผู้เกี่ยวข้องต้องช่วยกันตรวจตรา ควบคุมคุณภาพในผลิตภัณฑ์เหล่านั้น รวมถึงผู้บริโภคก็ต้องระมัดระวังพิจารณาก่อนซื้อหามาใช้ด้วย

อ้างอิงและดูข้อมูลเพิ่มเติมที่

  1. The elements of murder /John Emsley
  2. วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
  3. ศูนย์ข้อมูลวัตถุอันตรายและเคมีภัณฑ์  http://msds.psd.go.th/





ไม่มีความคิดเห็น: