จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันเสาร์ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2557

ซีทีสแกน(CT scan)ทำให้เป็นมะเร็งจริงหรือ?


 
               

 
                     ก่อนอื่นขอทำความเข้าใจในความหมายของคำศัพท์ที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับเรื่องนี้เสียก่อน

-ซีทีสแกน(CT scan)เป็นคำย่อมาจาก Compeuter Tomography Scan คือ วิธืถ่ายภาพอวัยวะร่างกายโดยใช้รังสีเอ็กซเรย์ฉายไปโดยรอบสามร้อยหกสิบองศา ทั้งนี้เพื่อการตรวจวินิฉัยโรค เครื่องมือที่ใช้เรียกว่า เครื่องซีทีสแกน มีลักษณะดังรูป

-ขนาดของรังสีเอ็กซเรย์ที่ฉายอยู่ในระดับความแรง ตั้งแต่ 2-10 mSv(millisieverts) ขนาดเฉลื่ย 5mSv

       การทำซีทีสแกนที่ศรีษะใช้ขนาดรังสีเอ็กซ์เรย1.4 mSv เทียบได้กับรับรังสีตามธรรมชาติเป็นเวลาเจ็ดเดือนครึ่ง

        การทำซีทีสแกนที่หน้าอกใช้ขนาดรังสีเอ็กซ์เรย6.6mSvเทียบได้กับรับรังสีตามธรรมชาติเป็นเวลา สามปี

       การทำซีทีสแกนทั้งร่างกายใช้ขนาดรังสีเอ็กซ์เรย์10mSvเทียบได้กับการรับรังสีตามธรรมชาติเป็นเวลาสี่ปีครึ่ง                        

-Sieverts(Sv) คือหน่วยวัดมาตราฐานสากล เป็นปริมาณรังสีที่แตกตัวเป็นอนุภาคประจุ ที่ให้ผลทางชีวภาพที่แผ่ในเนื้อเยื่อสิ่งมีชีวิตเท่ากับหนึ่งหน่วยปริมาณรังสีเอ็กซ์เรย์ (a gray for x-rays) หนึ่งจูลน์ต่อ กิโลกรัม  ;(1SV=1000mSv)

-ปกติมนุษย์เราก็ถูกการแผ่รังสีโดยธรรมชาติอยู่แล้วที่เราเรียกว่า Background radiation อย่างรังสีที่มาจากอวกาศจากดวงอาทิตย์และดาวฤกษ์ที่เรียกว่ารังสีคอสมิก จากแก๊สที่แผ่รังสีได้จากพื้นโลก หินแร่ธาตุที่มีกัมมันตภาพรังสี น้ำอาหารที่เจือปน อื่นๆแม้แต่คลื่นวิทยุอินเตอร์เนต(wifi),สัณญานโทรศัพท์มือถือ

   

               เป็นเวลากว่าสี่สิบปีมาแล้วที่แพทย์ได้เริ่มใช้เครื่อง ซีทีสแกนในการถ่ายภาพอวัยวะภายในผู้ป่วยเพื่อค้นหาสาเหตุหรือตรวจสภาพการเจ็บป่วย แต่พวกเขาก็กังวลว่ามันสามารถเพิ่มความเสี่ยง ก่อให้เกิดมะเร็งขึ้นได้กับคนไข้ เนื่องจาก ซีทีสแกนจะยิ่งอนุภาครังสีเอ็กซ์เรย์เข้าสู่ร่างกายมนุษย์ซึ่งมันสามารถทำลาย ดีเอ็นเอ(DNA)เกิดการกลายพันธ์เร่งให้เซลเจริญเติบโตกลายเป็นเนื้อร้ายมะเร็งได้

          ที่สหรัฐอเมริกามีรายงานตีพิมพ์มากมายกว่าสิบปีที่ผ่านมานี้ นักวิจัยสถาบันมะเร็งแห่งชาติพยากรณ์ว่า จากการใช้ ซีทีสแกนในปี คศ.2007 ถึง 72 ล้านครั้งจะเกิดผู้ป่วยมะเร็ง29,000 ราย และในปี ค.ศ.2009 ที่ศูนย์การแพทย์อ่าวซานฟานซิโกคำนวนความเสี่ยงว่าจะเกิดมะเร็งเป็นกรณีพิเศษต่อการทำซีทีสแกนที่หน้าอก 400-2,000 ครั้ง ที่จริงแล้วการประเมินเมื่อสิบปีที่ผ่านมาได้ค่าการก่อเกิดมะเร็งจากการทำซีทีสแกนมากเกินไป มันยังขาดข้อมูลด้านอื่น,ส่วนอื่นอีก          

                 อย่างไรก็ดีบรรดาแพทย์ได้สรุปเสมอๆว่า  คุณประโยชน์ของมันเกินกว่าค่าความเสี่ยง

รังสีเอ็กซ์เรย์ที่ฉายหมุนรอบศรีษะ,อก,และส่วนอื่นๆของร่างกายช่วยสร้างภาพสามมิติที่ให้รายละเอียดมากกว่าภาพที่ถ่ายด้วยเอ็กซ์เรย์ธรรมดาในแต่ละครั้งการทำซีทีสแกนมีการฉายเอ็กซ์เรย์ อยู่ถึง 150-1,100 ครั้ง เทียบได้กับการถูกรังสีที่อยู่ตามธรรมชาติและเครื่องมือประดิษฐรวมหนึ่งปีทีเดี่ยว เนื่องจากจริยธรรมทาการแพทย์ แพทย์และนักวิจัยมิอาจทำการทดลองยิงอนุภาครังสีเข้าร่างกายมนุษย์โดยตรง ดังนั้นพวกเขาจึงนำข้อมูลจากผู้ที่รอดพ้นความตายหลังถูกระเบิดปรามณู ณ.เมืองฮิโรชิม่า และนางาซากิมาศึกษา เดวิส ริชาร์ดสัน (Davis Richardsan) ศาสตราจาร์ยทางระบาดวิทยาแห่งมหาวิทยาลัย นอร์ท คาโรไลน่าทำการวิจัยผู้รอดชีวิตหลังจากระเบิดนิวเคลียส์(ระเบิดปรมาณู) เปิดเผยว่า จำนวนผู้รอดตาย 25,000 รายได้ถูกรังสีที่แพร่กระจายระดับรังสีขนาดน้อยเทียบได้เท่ากับทำซีทีสแกน หนึ่งถึงสามครั้งไม่ปรากฏการเกิดมะเร็งขึ้นแต่อย่างไร

                   สภาวิจัยแห่งชาติและหน่วยงานวิจัยอื่นๆประเมินสรุปสมมุติฐานจากผู้รอดชีวิตจากระเบิดปรมาณูที่ระดับรังสี100 mSv ถึง 2 Sv ว่าความเสี่ยงเกิดมะเร็งกับขนาดปริมาณรังสีที่ใช้มีรูปแบบเหมือนกันทั้งในขนาดที่ใช้ระดับต่ำและระดับสูง แต่มันกลับไม่เป็นจริงเสมอไป มีปัจจัยที่เข้ามาเกี่ยวข้อคือ ผู้ที่โดนระเบิดปรมาณูถูกรังสีแผ่กระจายเพียงครั้งเดียวทั่วตามร่างกาย ขณะที่คนทั่วไปที่ทำซีทีสแกนได้รับหลายครั้งและก็มุ่งฉายไปที่บางส่วน ตรงอวัยวะของร่างกายจำกัดบริเวณ อีกประการหนึ่งผู้รอดชีวิตจากโดนระเบิดปรมาณูอยู่ในยุคที่ได้รับ อาหาร การสาธารณสุขการบำรุงไม่ดีเท่าผู้คนในปัจจุบัน ฉนั้นจึงจะมีการสรุปผลในการวิเคราะห์ความเสี่ยงการเกิดมะเร็งเสียใหม่ โดยศึกษาตรงไปผู้เกิดมะเร็งภายหลังทำซีทีสแกน ประมาณสิบสองหน่วยงานจากประเทศต่างๆได้ติดตามข้อมูลจากการทำซีทีสแกน ซึ่งจะตีพิมพ์ผลงานออกมาได้ในอีกไม่กีปีข้างหน้า

ในขณะเดียวกัน นักวิจัยได้ทำการทดลองคู่ขนานเพื่อลดขนาดระดับรังสีเอ็กซเรย์ที่ใช้ในเครื่องซีที แต่ยังคงให้ภาพสแกนที่มีคุณภาพสามารถตรวจวิฉัยหรือบำบักโรคภัยทางการแพทย์ได้
โปรดดูภาพเคลื่อนไหวจากเว็ปไซค์ข้างใต้นี้    http://www.muschealth.com/video/Default.aspx?cId=35
 

ข้อมูลอ้างอิง

1.      CT Scan-Risks www.nhs.uk

2.      Do CT Scans cause Cancer?:Scientific American July 2013

ไม่มีความคิดเห็น: