จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันอังคารที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

ปวดหลัง:บทความ


อาการปวดหลัง Low back pain


ภาพจาก http://ihc-ng.com
         อาการปวดหลังเป็นอาการหนึ่งที่เป็นกันบ่อยๆ ประมาณ ร้อยละ ๘๐ของผู้ใหญ่จะเกิดอาการปวดหลัง ซึ่งอาจจะมากบ้างน้อยบ้างขึ้นกับความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ และการดูแลตัวเอง ผู้ที่มีอาการปวดหลังร้อยละ๕๐จะหายภายใน สองสัปดาห์  ร้อยละ๙๐ จะหายภายใน เดือน และจะพบผู้ป่วยร้อยละ ๕-๑๐ที่จะเป็นโรคปวดเรื้อรัง
          เมื่อพิจารณาหลังของเราตั้งแต่ผิวหนังแผ่นกล้ามเนื้อลึลงไปกระดูก  ส่วนของกระดูกประกอบไปด้วยกระดูกสันหลังทั้งหมด 24 ชิ้นที่เรียกว่า vertebrae วางซ้อนกันตั้งแต่กระดูกสะโพกถึงกะโหลกศีรษะ ระหว่างกระดูกแต่ละชิ้นจะเนื้อนุ่มเหมือนฟองน้ำขั้นกลางเรียกหมอนรองกระดูก ซึ่งจะรับแรงกระแทกของกระดูก และเพิ่มความคล่องตัวในการเคลื่อนไหว กระดูกสันหลังทำหน้าที่เป็นแกนกลางของร่างกาย กระดูกจะถูกยึดติดเป็นแนวโดยอาศัยกล้ามเนื้อและเอ็น การหดเกร็งกล้ามเนื้อหลังจะทำให้เกิดการเคลื่อนไหว
          หน้าที่อีกอย่างหนึ่งของกระดูกสันหลังคือเป็นทางผ่านของประสาทไขสันหลัง (spinal cord) วิ่งเริ่มต้นจากสมองในกะโหลกศีรษะลงมาในช่องกระดุกสันหลัง และมีเส้นประสาท ( spinal nerve ) ออกบริเวณข้อต่อของกระดูกไปเลี้ยงยังอวัยวะต่างๆ   อวัยวะต่างๆเหล่านี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับ อาการปวดหลัง
 อาการปวดหลังอาจแบ่งได้เป็น กลุ่มคือ
. อาการปวดแบบเฉียบพลัน ซึ่งเป็นมาภายในไม่กี่วัน ถึง 1-2 สัปดาห์ โดยมากมักจะเกี่ยวข้องกับอุบัติเหตุ
๒..  อาการปวดเรื้อรัง ซึ่งมักเป็นนานกว่า 3 เดือน และมีสาเหตุมากมาย
สาเหตุของการปวดหลัง
     การแพทย์แบ่งกระดูกหลังออกเป็นห้าส่วนคือ cervical ,thoracic ,lumbar,sacrum ,coccyx ส่วนที่เคลื่อนไหวได้มากที่สุดคือส่วนเอว(lumbar) และเป็นส่วนที่ทำให้เกิดอาการปวดหลังได้มากที่สุด อวัยวะที่ทำให้เกิดอาการปวดหลังได้แก่
กล้ามเนื้อหลังอาจเกร็งอยู่ตลอดเวลาทำให้เกิดอาการปวด
รากประสาทที่ออกจากไขสันหลังอาจจะถูกกระตุ้นทำให้มีอาการปวด
ปลายประสาทที่เลี้ยงไขสันหลังอาจจะถูกกระตุ้นทำให้มีอาการปวด
โดยตำแหน่งที่มักจะทำให้เกิดอาการปวดได้แก่ บริเวณกระดูกคอ cervical ,บริเวณกระดูกหน้าอก thorax ,และบริเวณกระดูกเอว lumbar
สาเหตุของอาการปวดหลังที่พบบ่อย
         1. อริยาบทหรือท่าทางที่ไม่ถูกต้องหรือเกร็งเคล็ด เป็นภาวะที่ทำให้เกิดอาการปวดหลังได้บ่อย เช่น นั่งทำงานในท่าก้มหลังเป็นเวลานาน การก้มตัวยกของหนัก หลังถูกกระแทก เป็นต้น
         2. ภาวะเสื่อมของกระดูกสันหลัง พบได้บ่อยในผู้สูงอายุ กระดูกสันหลังและหมอนรองกระดูกสันหลังมีการเสื่อม ทำให้เกิดอาการปวดหลังเรื้อรัง ในบางรายอาจมีกระดูกงอกไปกดปลายประสาททำให้เกิดอาการชาหรืออ่อนแรงของขาได้
         3. หมอนรองกระดูกสันหลังเคลื่อน มักเกิดอาการปวดหลังแบบเฉียบพลัน เกิดจากการที่ยกของหนักหรือล้มก้นกระแทกพื้น เกิดแรงดันทำให้หมอนรองกระดูกสันหลังไปกดเส้นประสาทที่ออกมาจากไขสันหลัง เกิดอาการปวดร้าวไปด้านหลังของขา ร่วมกับอาการชาและอ่อนแรงของกล้ามเนื้อขา ภาวะนี้จำเป็นต้องการการผ่าตัดแก้ไข
         4. ภาวะเครียด อาจส่งผลให้มีการเกร็งของกล้ามเนื้อหลังตลอดเวลา ทำให้ปวดหลังได้
         5. กระดูกสันหลังอักเสบ เป็นภาวะที่มีการอักเสบของกระดูกสันหลัง พบได้บ่อยในเพศชายวัยกลางคน มีอาการปวดหลังเรื้อรัง อาจมีข้ออักเสบอื่น ๆ ร่วมด้วย ผู้ป่วยจะมีอาการหลังแข็ง ถ้าได้รับการวินิจฉัยไม่ถูกต้อง กระดูกสันหลังอาจยึดติดกันไปหมด ก่อให้เกิดความพิการตามมาได้
         6. สาเหตุอื่น ๆ ได้แก่ โรคของอวัยวะบางอย่างที่ทำให้เกิดอาการปวดร้าวมาบริเวณหลังได้ ได้แก่ โรคไต โรคเกี่ยวกับรังไข่และมดลูก หรือโรคที่เกี่ยวกับต่อมลูกหมาก หรือการกระจายของมะเร็งมาที่บริเวณกระดูกสันหลัง เป็นต้น
การวินิจฉัย
          แพทย์จะอาศัยการซักประวัติและการตรวจร่างกายเป็นสำคัญ ในบางครั้งแพทย์อาจจำเป็นต้องทำการตรวจทางห้องปฏิบัติการ เช่น การถ่ายภาพรังสี และการตรวจเลือดเพื่อยืนยันการวินิจฉัยและการรักษา

ข้อควรปฎิบัติ 
          1. ควรระวังและหลีกเลี่ยงการทำงานที่เกี่ยวข้องกับการยกของหนัก การที่ต้องทำงานก้ม ๆ เงย ๆ เป็นต้น
          2. ปรับปรุงอริยาบทต่าง ๆ ที่อาจก่อให้เกิดการปวดหลัง เช่น ที่นอนควรเป็นที่นอนราบเรียบและแข็ง เก้าอี้นั่งควรเป็นเก้าอี้ที่มีพนักพิงหลังและนั่งตัวตรง เวลาขับรถควรปรับพนักเก้าอี้ให้อยู่ในท่าตรง เวลาก้มหยิบของควรใช้วิธีย่อเข่าลงเก็บของ เป็นต้น
          3. อาจใช้ยาแก้ปวด เช่น ยาพาราเซตามอล หรือแอสไพริน รับประทานแก้ปวดได้ทุก 4-6 ชั่วโมง ในกรณีที่รับประทานยามาแล้ว 5-7 วัน และอาการไม่ดีขึ้น ควรปรึกษาแพทย์ ในรายที่เป็นเรื้อรัง หรือมีอาการปวดอย่างมาก การทำกายภาพบำบัดจะช่วยลดอาการเจ็บปวดได้ การใช้กายอุปกรณ์ก็สามารถช่วยลดอาการเจ็บปวดได้เช่นกัน

          4. การบริหารกล้ามเนื้อหลัง เป็นส่วนสำคัญที่สุดในการดูแลรักษาผู้ป่วยที่มีอาการปวดหลัง เพราะจะช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งของกล้ามเนื้อหลัง และลดการเกร็งของกล้ามเนื้อหลัง การบริหารควรทำทุกวัน
          5. หาทางออกกำลังกายเป็นการผ่อนคลายความเครียด
การรักษา  รักษาตามต้นเหตุ  ประมาณร้อยละ ๙๐ ที่ไม่ทราบสาเหตุ การรักษาก็คือ
1. การรักษาแบบอนุรักษ์ (ไม่ผ่าตัด)  มีจุดประสงค์เพื่อลดอาการปวด ให้ผู้ป่วยกลับสู่สภาพเดิมโดยเร็ว
ประกอบด้วย . การนอนพัก,การให้ ยาแก้ปวด ยาแก้อักเสบ ยาคลายกล้ามเนื้อ ยากล่อมประสาท
โดยมีข้อควรปฏิบัติสำหรับผู้ที่มีอาการปวดหลัง ให้กระทำควบคู่กันไปคือ
1. หลีกเลี่ยงท่าทางที่ทำให้ปวดหลัง
2. บรหารกล้ามเนื้อหน้าท้องและแผ่นหลัง
3. งดสูบบหรี่ดืม แอลกอฮอล์ สิ่งเสพติด
4. พกผ่อนให้เพียงพอ
5. อาหารที่เป็นประโยชน์ งดของมัน ของหวาน อาหารรสจัด
2. การรักษาแบบผ่าตัด  คือ
2.1. การขจัดเอาสิ่งแปลกปลอมอันหมายถึงเนื้อหมอนรองกระดูกสันหลังที่เคลื่อนผิดที่และกระดูกที่
งอกหนาขึ้น กดทับเนื้อเยื่อประสาทเพื่อให้เส้นประสาทเป็นอิสระจากการกดทับ
2.2. การจัดแนวกระดูกสันหลังให้เป็นแนวปกติยึดตรึงกระดูกด้วยวัสดุดาม และการเชื่อมข้อกระดูกสันหลัง

----------------------------------------------อ้างอิงจาก
1.www.oknation.net/blog/print.php?id=95649
2www.thairheumatology.org/people01.php?id=78 สำหรับข้อมูลครับ
3. ความรู้เรื่องปวดหลัง :นายแพทย์ธวัช ประสาทฤทธา  โรงพยาบาลเลิดสิน  กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข

ไม่มีความคิดเห็น: