เรื่องเก่าที่บ้านเกิดของ เหม เวชกร
เหม เวชกร เป็นนามของบุคคลผู้หนึ่งที่ได้รับการยกย่องว่า เป็นจิตรกรและนักประพันธ์ผู้ยิ่งใหญ่ของไทยแห่งกรุงรัตนโกสินทริ์ในช่วงรัชกาลปัจจุบันนึ้ ท่านมีชีวิตอยู่ช่วงระหว่าง พ.ศ.๒๔๔๖-พ.ศ.๒๕๑๒ ท่านได้มอบผลงานอันวิจิตรและเยื่ยมยอดไว้ให้แก่สังคมไทยและอนุชนรุ่นหลังเป็นจำนวนมาก กล่าวกันว่า มีภาพทีเขียนประกอบส่วนใหญ่เป็นภาพปกหนังสือ ภาพแทรกหนังสืออ่านเล่น และประกอบเรื่องวรรณคดีต่างๆ เช่นชุด ขุนช้าง-ขุนแผน ชุด ศรีธนญชัย ชุด ราชาธิราช กามนิต สังข์ทอง อื่นๆอีกมากมาย หากจะประเมินในช่วงชีวิตที่ท่านทำงานเป็นช่างวาดเขียน ๔๓ ปีนั้นเฉลี่ยแล้วท่านวาดรูป ๓ภาพต่อวัน นอกจากความเป็นเลิศและมีเอกลักษณะเฉพาะทางจิตกรรมนี่เองแล้วท่านได้รับคัดเลือกให้เป็นผู้วาดภาพฝาผนังระเบียงวัดพระแก้วเขียนไว้เมื่อคราวบูรณะซ่อมแซมปีพ.ศ. ๒๔๗๓ ณ. ห้องที่๖๙ เรื่องรามเกียรติ์ตอนแผลงศรฆ่ามังกรกรรณ และท่านยังได้รับสนองงานถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอันเป็นที่พอพระราชหฤทัยของพระองค์ นอกจากนั้นในด้านงานประพันธ์ก็มีผลงานให้กล่าวถึง ตอนช่วงท้ายของชีวิตเขาเขียนหนังสือ ร่วมร้อยเรื่อง ส่วนใหญ่เป็นเรื่องผี ทำเป็นชุด เช่น ผู้ที่ไม่มีร่างกาย ปีศาจของไทย เปิดกรุผีไทย ฯ เขียนเลื่อยต่อมาถึงปี พ.ศ. ๒๕๑๐ เราสามารถสืบค้นหาผลงานภาพเขียนวิจิตรของท่านเพื่อชมและอ่านนิยายชุดเรื่องผีได้ไม่ยากในปัจจุบันเพราะมีบางสำนักพิมพ์ได้นำมาตีพิมพ์ใหม่ออกมาบ้าง รวมถึงสื่อทางอินเตอร์เนตที่นำเสนอสะดวกต่อการเปิดดู ส่วนประวัติชีวิตของท่านมีการกล่าวและอ้างอิงจากหนังสือและผู้รู้ผู้ที่เกี่ยวข้องและผู้ที่มีชีวิตร่วมสมัยในยุดท่านไว้มากมายก็จริงอยู่ แต่ก็ดูเหมือนว่ามิอาจจะหาหลักฐานใดที่ระบุว่า ครอบครัวผู้ให้กำเนิดท่านเป็นใครและมีถิ่นสถานบ้านช่องอยู่แห่งที่ใดไม่ปรากฎหลักฐานที่แน่ชัด เราทราบจากแหล่งข้อมูลมาบ้างว่าครอบครัวทางบิดาเป็นตระกูลขุนนางเก่าแก่ บิดาท่าน คือ ม.ร.ว.หุ่น ทินกร มารดาท่านชื่อ ม.ล.สำริด พึ่งบุญ เมื่ออายุ ๘ขวบ มารดา บิดา แยกทางกัน จึงไปอาศัยอยู่กับลุง มรว.แดง ทินกร ส่วนรายละเอียดอื่นๆนั้นก็ดูเหมือนว่า แหล่งข้อมูลจะกล่าวตรงกันว่า เหม เวชกร ไม่ประสงค์จะพูดถึงนัก การกล่าวถึงเป็นไปในลักษณะบอกผ่านๆ แต่เนื่องด้วยตัวผมเองมีความอยากรู้อยากทราบเรื่องของความเป็นมาของท่านประการหนึ่งและด้วยความบังเอิญ ผมได้อ่านงานประพันธ์ที่ท่านแต่งเรื่องผีตอน “ เรื่องเก่าที่บ้านเกิด ”เมื่ออ่านจบผมก็นำข้อมูลเนื้อหาในเรื่องแต่งนั้นมาปะติดปะต่อแล้วใช้หลักอนุมานศาสตร์มาพิจารณาความเป็นไปได้มาเป็นข้อสัณนิฐานว่า บ้านเก่าที่ให้กำเนิดของท่าน อยู่ที่ใดและท่านควรจะดำรงอยู่ในวงศ์ตระกูลใด ถึงแม้เรื่องสั้นเรื่องผีที่แต่งนี้จะเป็นเรื่องแต่งให้อ่านเล่นก็จริง แต่โดยทั่วไปแล้วบางครั้งที่ผู้ประพันธ์จะสร้างพล็อดและฉากของเรื่องที่มาจากชีวิตจริงประกอบเข้าไปในเรื่องแต่งด้วย ฉนั้นเรื่องราวต่างๆที่เผยออกมาในงานเขียนอาจสืบค้นถึงความเกี่ยวข้องระหว่างเรื่องที่เขียนกับชีวิตจริงของผู้แต่ง ด้วยสมมุติฐานนี้ ผมขอหยิบยกบางช่วงตอนต้นเรื่องมานำเสนอให้ผู้อ่าน เรื่องก็มีอยู่ว่าตัวเอกของเรื่องชื่อ “คุณพฤกษ์” ต้องการจะสร้างบ้านเรือนไทยให้กับตัวเอง จึงไปติดต่อสถาปนิกให้ออกแบบบ้านพร้อมคิดราคาค่าก่อสร้าง แต่คุณพฤกษ์(ต่อมาในท้องเรื่องใช้สรรพนามแทนผู้เล่าเรื่องว่า ผม )ต้องกลับไปด้วยความผิดหวังเพราะการก่อสร้างต้องใช้เงินจำนวนมากขณะเดียวกันก็เกิดคิดหวนคำนึงถึงบ้านหลังเก่าถิ่นกำเนิดโดยพรรณาความรู้สึกไว้ดังนี้
‘ ผมลาคุณวิสูตร์ช่างก่อสร้างกลับมาบ้านด้วยหัวใจวนเวียนแบบบ้านไทยที่เขาเขียนและแบบบ้านที่สร้างจำลองไว้อย่างลืมไม่ลงมันอดคิดถึงบ้านไทยแท้ๆที่ผมเคยยึดเอาเป็นที่กำเนิดเกิดมาเป็นตัวเป็นตน ภายใต้หลังคาสูงๆอย่างโบสถ์และทั้งฝาทั้งพื้นเป็นไม้สัก บ้านที่ให้กำเนิดแก่ผมนี้ก็คือบ้านในตำบลพระราชวังหรือแหล่งปากคลองตลาดที่มีโรงเรียนราชินีอยู่ใกล้ๆแต่เดี๋ยวนี้ที่ดินผืนนี้ได้กลายเป็นที่ทำการรัฐบาลไปแล้วและที่ๆหนึ่งเคยเป็นที่ดินร้างว่างเปล่าที่เต็มไปด้วยดงละหุ่งดงนางแย้มนั้นเป็นที่ติดกับบ้านของผมได้กลายเป็นสถานีตำรวจพระราชวังไปแล้ว
ประตูบ้านผมนั้นตรงกับช่องทางหนึ่งที่ตัดซอยจากถนนใหญ่ลงท่าน้ำมีชื่อว่า ’ท่าตรงข้าม’ ที่ท่าน้ำมีเรือจ้างข้ามฟากตรงเข้าคลองบางหลวงและท่าวัดกัลยาณมิตร ช่องทางนี้ด้านซ้ายมือเป็นโรงพิมพ์ของกรมแผนที่เก่า ด้านขวามือเป็นบ้านของพระยาอัคราชฯและพื้นที่ของพระยาอัคราชฯนี้ติดกับวังพระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์นั้นเอง ถ้าท่านผู้อ่านจะอยากทราบว่าบ้านเกิดของผมนี้แต่เก่าเป็นบ้านท่านผู้ใดและตระกูลอะไรก็โปรดอย่าทราบเลยครับ เอากันเรื่องที่ผมจะเล่าให้ฟังก็แล้วกันและเนื้อที่ดินกลุ่มนี้มีอยู่หลายบ้านที่เป็นเพื่อนบ้านหรือรวมตระกูลใกล้ชิดกับท่านผู้ใหญ่ของผมทั้งนั้น ซึ่งนับทั้งสถานีตำรวจพระราชวังบวกเข้าไปด้วยซึ่งเดิมที่เดียวสถานีตำรวจอยู่ในบริเวณตลาดท่าเตียน เรียกกันตามภาษาชาวบ้านว่า โรงพักท่าเตียน ’
แล้วเรื่องก็ดำเนินต่อไปผู้ประพันธ์จะพรรณาถึงสภาพของบ้านเรือนและชีวิตวัยเป็นเด็ก หากแต่จากข้อมูลที่คัดยกมาเพียงเท่านี้ ในปัจจุบันเราสามารถเดินสำรวจเส้นทางที่ถูกระบุไว้ตามข้อเขียนข้างต้น จริงอยู่สถานที่และชื่อสถานที่ย่อมเปลื่ยนแปลงไปตามกาลเวลา เหม เวชกร เขียนเรื่องบรรดาชุดผีฯ ในช่วงท้ายชีวิตแต่ได้ใช้ความทรงจำของท่านเมื่อตอนเป็นเด็ก ผมคาดคะเนดูแล้วต้องไม่เกินอายุ ๘ ขวบเพราะหลังจากนั้นท่านได้อาศัยอยู่กับลุง มรว.แดง ทินกร ฉนั้นเพื่อเป็นการสอบทานหลักฐานให้ใกล้เคียงกับข้อมูลที่ระบุในนิยายเรื่องนั้น ผมได้เสาะหาแผนที่จากฉบับแผนที่กรุงเทพฯ พ.ศ.๒๔๗๕ที่คณะอาจาร์ยแห่งคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้รวบรวมและจัดทำระบบฐานข้อมูลประวัติศาสตร์และพิมพ์เผยแพร่เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา๘๐ พรรษานั้น แผนที่ทำเสร็จและพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ.๒๔๗๕ โดยกรมแผนที่ทหาร กระทรวงกลาโหมก็จริง แต่ก็ได้ทำการสำรวจเก็บข้อมูลที่ตั้งบ้านเรือนต่างๆไว้ตั้งแต่ในปีพ.ศ.๒๔๖๕และพ.ศ.๒๔๗๓ข้อมูลที่ปรากฏในแผนที่และบ่งชี้ถึง ถ้าเก่ามากสุดก็เพียงพ.ศ.๒๔๖๕ ขณะที่นิยายที่ท่านแต่งเขียนในตอน ‘ เรื่องเก่าที่บ้านเกิด ‘ คาดว่านำความทรงจำของท่านถึงเรื่องราวที่ท่านยังเป็นเด็กอายุไม่เกิน ๘ขวบก่อนที่ ท่านไปอยู่กับลุง สภาพของเรื่องราวก็จะอยู่ในเวลาไม่เกิน พ.ศ.๒๔๕๔ ฉนั้นข้อมูลที่ปรากฏในแผนที่อาจเปลื่ยนแปลงสภาพไปแล้วชื่อของสถานทีบางแห่งที่ถูกระบุบนแผนทีย่อมเกิดหลัง(พ้นสภาพ)หลังจากครูเหมได้เจริญเติบโตขึ้นและย้ายไปพำนักอาศัยอยู่ที่อื่นแล้ว
ขอให้ผู้อ่านดู(รูปที่๑)รูปแผนที่ที่ผมนำเสนอมา จะเห็นช่องชอยเล็กที่ปากซอยลงแม่น้ำเจ้าพระยา ที่มีตัวพิมพ์ว่า แผนกการพิมพ์กรมแผนที่ตรงนี่คือท่าน้ำมีเรือจ้างข้ามฟากตรงเข้าคลองบางหลวงและท่าวัดกัลยาณมิตร(ดูรูปที่๒) และต้นซอยออกสู่ถนนเล็กที่ชื่อว่าถนนมหาราช ตรงข้ามกับต้นซอยในแผนที่จะระบุเป็น กระทรวงพาณิชย์(รูปที่๓)
ที่ตั้งของกระทรวงพาณิชย์นี่แหละ คือ ที่ตั้งของบ้านหรือนิเวศสถานของ เหม เวชกรนั้นเอง ทำไมผมถึงมั่นใจและเชื่อเช่นนั้น ก็ทุกอย่างในแผนที่ ทีระบุบแสดงไว้ล้วนสอดคล้องตรงกับทีเขียนในนิยายสั้นๆ ‘เรื่องเก่าทีบ้านเกิด’ เพียงแต่ว่าที่ครูเหม เขียนว่า ‘ แต่เดี๋ยวนี้ที่ดินผืนนี้ได้กลายเป็นที่ทำการรัฐบาลไปแล้ว ’ จากประวัติของกระทรวงพาณิชย์ พบว่า ตึกที่ว่าการกระทรวงพาณิชย์ (เศรษฐการ)ถูกสร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๙๓ โดยสร้างขึ้นในที่ดินแปลงหนึ่งเป็นรูปสามเหลี่ยมชายธง มีถนนสามสายผ่านรายรอบทั้งสามด้านคือ ถนนเขตต์ ถนนสนามไชย และถนนมหาราช แต่เดิมนั้นที่ดินบริเวณนี้และพื้นที่รอบๆ เป็นที่ตั้งของวังต่างๆ นั้นหมายความว่าช่วงเวลาที่เหม เขียนเรื่องนิยายเฉพาะตอน“ เรื่องเก่าที่บ้านเกิด ”นี้นั้นต้องหลังจากปี พ.ศ.๒๔๙๓ นิเวศสถานของครูเหม ได้กลายเป็นที่ทำการัฐคือ กระทรวงพาณิชย์ และต่อมาในปัจจุบัน กระทรวงพาณิชย์ ได้ย้ายไปตั้งอยู่ใหม่ที่ บริเวณสนามบินน้ำ อำเภอเมืองนนทบุรี จังหวัดนนทบุรี บริเวณนั้นจึงได้กลายเป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์สยาม (Museum of Siam) และจุดตรวจสินค้าของกระทรวงพาณิชย์บางส่วน และนี่แหละคือเรื่องราว บ้านเก่าที่บ้านเกิดของครูที่สำหรับผมแล้วถือว่าเป็น จิตรกรและนักประพันธ์ผู้ยิ่งใหญ่ของไทยแห่งกรุงรัตนโกสินทริ์ในช่วงรัชกาลปัจจุบันนึ้ที่เดี่ยว อย่างไรก็ดีท่านผู้อ่านต้องเข้าใจว่า การอนุมานสัณนิฐานของผมตั้งอยู่ในพื้นฐานที่ว่า นักเขียนหรือแต่งนิยายบางครั้งผู้ประพันธ์จะสร้างพล็อดและฉากของเรื่องที่มาจากชีวิตจริงประกอบเข้าไปในเรื่องแต่งด้วย และหากว่าผู้อ่านจะใช้หลักการอนุมานทีว่านี้ สืบหาต่อไปว่า ท่านดำรงค์อยู่สืบเชื้อสายในวงศ์ตระกูลใดก็มีความเป็นไปได้ ทั้งนี้จากประวัติของกระทรวงพาณิชย์ยังให้ข้อมูลเพิ่มเติมอีกว่า ‘ ซึ่งบริเวณของตึกที่ทำการกระทรวงพาณิชย์นั้นเป็นพื้นที่ของวัง ๓ แห่ง คือ วังกรมหลวงอดิศรอุดมเดช วังกรมหลวงบดินทร์ไพศาลโสภณ และวังกรมหมื่นทิวากรวงษ์ประวัติ
ที่ตั้งของกระทรวงพาณิชย์นี่แหละ คือ ที่ตั้งของบ้านหรือนิเวศสถานของ เหม เวชกรนั้นเอง ทำไมผมถึงมั่นใจและเชื่อเช่นนั้น ก็ทุกอย่างในแผนที่ ทีระบุบแสดงไว้ล้วนสอดคล้องตรงกับทีเขียนในนิยายสั้นๆ ‘เรื่องเก่าทีบ้านเกิด’ เพียงแต่ว่าที่ครูเหม เขียนว่า ‘ แต่เดี๋ยวนี้ที่ดินผืนนี้ได้กลายเป็นที่ทำการรัฐบาลไปแล้ว ’ จากประวัติของกระทรวงพาณิชย์ พบว่า ตึกที่ว่าการกระทรวงพาณิชย์ (เศรษฐการ)ถูกสร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๙๓ โดยสร้างขึ้นในที่ดินแปลงหนึ่งเป็นรูปสามเหลี่ยมชายธง มีถนนสามสายผ่านรายรอบทั้งสามด้านคือ ถนนเขตต์ ถนนสนามไชย และถนนมหาราช แต่เดิมนั้นที่ดินบริเวณนี้และพื้นที่รอบๆ เป็นที่ตั้งของวังต่างๆ นั้นหมายความว่าช่วงเวลาที่เหม เขียนเรื่องนิยายเฉพาะตอน“ เรื่องเก่าที่บ้านเกิด ”นี้นั้นต้องหลังจากปี พ.ศ.๒๔๙๓ นิเวศสถานของครูเหม ได้กลายเป็นที่ทำการัฐคือ กระทรวงพาณิชย์ และต่อมาในปัจจุบัน กระทรวงพาณิชย์ ได้ย้ายไปตั้งอยู่ใหม่ที่ บริเวณสนามบินน้ำ อำเภอเมืองนนทบุรี จังหวัดนนทบุรี บริเวณนั้นจึงได้กลายเป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์สยาม (Museum of Siam) และจุดตรวจสินค้าของกระทรวงพาณิชย์บางส่วน และนี่แหละคือเรื่องราว บ้านเก่าที่บ้านเกิดของครูที่สำหรับผมแล้วถือว่าเป็น จิตรกรและนักประพันธ์ผู้ยิ่งใหญ่ของไทยแห่งกรุงรัตนโกสินทริ์ในช่วงรัชกาลปัจจุบันนึ้ที่เดี่ยว อย่างไรก็ดีท่านผู้อ่านต้องเข้าใจว่า การอนุมานสัณนิฐานของผมตั้งอยู่ในพื้นฐานที่ว่า นักเขียนหรือแต่งนิยายบางครั้งผู้ประพันธ์จะสร้างพล็อดและฉากของเรื่องที่มาจากชีวิตจริงประกอบเข้าไปในเรื่องแต่งด้วย และหากว่าผู้อ่านจะใช้หลักการอนุมานทีว่านี้ สืบหาต่อไปว่า ท่านดำรงค์อยู่สืบเชื้อสายในวงศ์ตระกูลใดก็มีความเป็นไปได้ ทั้งนี้จากประวัติของกระทรวงพาณิชย์ยังให้ข้อมูลเพิ่มเติมอีกว่า ‘ ซึ่งบริเวณของตึกที่ทำการกระทรวงพาณิชย์นั้นเป็นพื้นที่ของวัง ๓ แห่ง คือ วังกรมหลวงอดิศรอุดมเดช วังกรมหลวงบดินทร์ไพศาลโสภณ และวังกรมหมื่นทิวากรวงษ์ประวัติ
เอกสารอ้างอิง
๑ อมตะนิยาย ผี ของครู เหม เวชกร ชุด หยดน้ำสังข์ สำนักพิมพ์บันดาลสาส์น
๒ หนังสือชุด ภูตผีปีศาจไทย (ผู้ที่ไม่มีร่างกาย) สำนักพิมพ์วิริยะ
๓ เหม เวชกร จิตรกรไร้สำนักเรียน ช่างเขียนนอกสถาบัน โดย ศรัณย์ ทองปาน หนังสือสารคดี ปีที่ ๑๖ ฉบับ ๑๘๘ สำนักพิมพ์สารคดี
๔ หนังสืออนุสรณ์ เนื่องในงานพระราชทานเพลิงศพ นายเหม เวชกร จัดพิมพ์โดย คณะศิษย์ พิมพ์ที่โรงพิมพ์ไทยสัมพันธ์ กันยายน ๒๕๑๒
๕ ประวัติกระทรวงพาณิชย์ http://www2.moc.go.th
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น