สถานะการ์ณโดยทั่วไป
องค์การอนามัยโลก (WHO) เผยแพร่รายงานว่าด้วยสภาวะการระบาดของเชื้อโรคดื้อยาปฏิชีวนะที่กำลังแพร่หลายไปทั่วโลก พร้อมกับเตือนว่า สภาวะเช่นนี้จะส่งผลกระทบกับทุกๆ คน เพราะจะส่งผลให้เชื้อโรคที่เคยรักษาได้ง่ายๆ ไม่สามารถรักษาได้ด้วยยาปฏิชีวนะเดิมได้อีกต่อไป ผลก็คือคนเราอาจตายง่ายๆด้วยอาการติดเชื้อดื้อยาเหล่านี้ระหว่างการผ่าตัดในโรงพยาบาล กรณีตัวอย่างของการดื้อยาที่ส่งผลร้ายต่อทุกคนทยอยกันปรากฏมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเดือนมกราคม พ.ศ.๒๕๕๗ มีงานศึกษาวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสารวิชาการ เนเจอร์ เจเนติกส์ ระบุว่า มีเชื้อทีบีหรือเชื้อวัณโรค สายพันธุ์รัสเซียที่นอกจากดื้อยาและแพร่ระบาดง่ายขึ้นกว่าเดิมมาก ปรากฏการณ์คล้ายๆ กันเกิดขึ้นในออสเตรเลีย เช่นเดียวกันกับในสหรัฐอเมริกา
ในรายงานขององค์การอนามัยโลก ซึ่งเก็บรวบรวมข้อมูลจาก 114 ประเทศ เตือนว่า ในเวลานี้มีเชื้อแบคทีเรียซึ่งก่อให้เกิดโรคร้ายแรง 7 ชนิดกำลังดื้อยาและแพร่ระบาดอยู่ในระดับภูมิภาค หนึ่งในจำนวนนั้นคือ "เคลบซีลลา นิวมอนิเอ" แบคทีเรียที่ดื้อยา "คาร์บาพีเนม" ทั้งๆ ที่ยาปฏิชีวนะชนิดนี้เคยใช้ได้ผลมาก่อนหน้านี้ ที่น่าวิตกสำหรับฮูก็คือ แบคทีเรียดังกล่าวนี้เป็นสาเหตุหลักของการติดเชื้อที่เกิดขึ้นในโรงพยาบาลทั้งหลาย ตั้งแต่การติดเชื้อจนป่วยเป็นนิวมอเนีย เรื่อยไปจนถึงการติดเชื้อในกระแสเลือด ที่ทำให้ผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาพยาบาลในโรงพยาบาลเสียชีวิตมานักต่อนักแล้ว
ในทำนองเดียวกัน องค์การอนามัยโลก ยังพบว่า ยา "ฟลูโอโรควิโนโลน" ที่เคยใช้รักษาอาการติดเชื้อในท่อปัสสาวะได้ผล กลับใช้ไม่ได้ผลอีกต่อไปในผู้ป่วยกว่าครึ่งที่ล้มป่วยลงในหลายๆ ประเทศ นอกจากนั้น ยังพบการดื้อยา"เซฟาลอสปอรินส์" ซึ่งเคยใช้รักษาหนองใน (โกโนเรีย) โดยใช้ยาชนิดนี้ไม่ได้ผลอีกต่อไปทั้งในยุโรป เอเชีย ออสเตรเลีย แอฟริกา และอเมริกาเหนือที่น่าตกใจก็คือ จากสถิติขององค์การอนามัยโลกพบว่า 3.6 เปอร์เซ็นต์ของผู้ป่วยวัณโรคใหม่ดื้อยาปฏิชีวนะหลายๆ ตัวพร้อมกัน นอกเหนือจากการดื้อยาปฏิชีวนะ "อาร์เตไมซินีน" ที่ปรากฏในรายงานจาก พม่า กัมพูชา ไทยและเวียดนาม แล้ว ผู้ช่วยผู้อำนวยการองค์การอนามัยโลกด้านความมั่นคงสุขภาพ เตือนว่า หากปราศจากความร่วมมือประสานงานกันในหลายๆ ประเทศทั่วโลกอย่างเร่งด่วนแล้วละก็ โลกก็จะก้าวเข้าสู่ยุค หลังยาปฏิชีวนะ อย่างรวดเร็ว ช่วงเวลาดังกล่าวคือยุคที่ยาปฏิชีวนะเท่าที่เรามีอยู่จะไม่สามารถใช้รักษาเยียวยาอาการติดเชื้อใดๆ ได้อีก ซึ่งจะส่งผลให้ แม้อาการบาดเจ็บเพียงเล็กน้อย ก็สามารถคร่าชีวิตเราได้ในทันที
ในส่วนของประเทศไทยมีรายงานจากสาธารณสุข เผยเหตุเชื้อดื้อยาปฏิชีวนะทำคนไทยเสียชีวิตปีละกว่า 30,000 ราย เนื่องจากการใช้อย่างไม่จำเป็นและเกินความจำเป็น ปัจจุบัน(พ.ศ.๒๕๕๖)ปัญหาการดื้อยาของเชื้อจุลชีพทำให้เกิดโรคมีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อยๆ สาเหตุสำคัญมาจากการใช้ยาปฏิชีวนะที่มากขึ้น ทั้งการใช้อย่างไม่จำเป็นและเกินความจำเป็น โดยมูลค่าการใช้ยาปฏิชีวนะของคนไทยมากกว่า 10,000 ล้านบาท/ปี และมีการติดเชื้อชนิดที่ดื้อยาปฏิชีวนะ ปีละกว่า 100,000 คน ทำให้ยาปฏิชีวนะตัวเก่าที่เคยใช้ไม่ได้ผลเท่าที่ควร ผู้ป่วยบางรายต้องเปลี่ยนใช้ยาตัวใหม่ ซึ่งมีราคาแพงมาก เชื้อดื้อยาบางชนิดไม่มียารักษาที่มีประสิทธิผลดีและปลอดภัย ทำให้มีค่าใช้จ่ายในการรักษาเพิ่มขึ้น ใช้เวลารักษานานขึ้น และโอกาสเสียชีวิตสูง ผลเสียต่อไปหากเชื้อชนิดนี้แพร่ไปสู่ผู้ป่วยรายอื่นและเกิดการระบาดในชุมชน จะมีผลทำให้โรคติดต่อที่เคยควบคุมได้กลับมาระบาดมากขึ้น
นอกจากนี้ เชื้อดื้อยายังสามารถถ่ายทอดรหัสพันธุกรรมดื้อยาไปสู่เชื้อสายพันธุ์อื่น เสียชีวิตปีละ 38,481 ราย ซึ่งสูงกว่าจำนวนผู้เสียชีวิตจากโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด และมากเป็นอันดับ 2 รองจากโรคหลอดเลือดสมอง ที่มีจำนวน 50,829 ราย เกิดความสูญเสียทางเศรษฐกิจ เป็นค่ายาปฏิชีวนะที่ใช้รักษาเชื้อดื้อยา มูลค่าประมาณ 2,539-6,084 ล้านบาท และค่าการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร ปีละกว่า 40,000 ล้านบาท. - สำนักข่าวไทย
การรณรงค์แก้ไข
ข้อเสนอขององค์การอนามัยโลก เสนอให้จัดตั้งเครือข่ายความร่วมมือเพื่อการเฝ้าระวังการดื้อยาปฏิชีวนะขึ้นในระดับโลก นอกเหนือจากการจัดทำมาตรฐานการใช้ยาปฏิชีวนะในปศุสัตว์ให้เป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วโลกแล้ว ยังเรียกร้องให้มีการให้การศึกษาต่อสาธารณะให้ระมัดระวังในการใช้ยาปฏิชีวนะเพื่อป้องกันไม่ให้เชื้อเหล่านั้นดื่อยา ที่สามารถปฏิบัติได้ง่าย แต่ไม่ค่อยมีการตระหนักถึงความสำคัญมากมายนัก อย่างเช่น การใช้ยาปฏิชีวนะตามแพทย์สั่งเท่านั้น การใช้ยาปฏิชีวนะให้ครบโดสตามคำสั่งของแพทย์อย่างเคร่งครัด และไม่ควรใช้ยาปฏิชีวนะเหลือใช้หรือร่วมกับผู้ป่วยราย อื่นๆ เป็นต้น
ที่จริงยาปฎิชีวนะฆ่าแบคทีเรียแต่ไม่สามารถฆ่าไวรัสที่ทำให้เกิดไข้หวัด แพทย์มักสั่งจ่ายยานี้บ่อยเพื่อเอาใจความต้องการคนไข้ จึงทำให้เกิดการดื้อยา ศูนย์การควมคุมและป้องกันโรค สหรัฐอเมริการายงานว่า ประมาณร้อยละ ๕๐ใบสั่งยาปฎิชีวนะในสหรัฐสั่งออกเกินความจำเป็น วิธีใหม่วิธีหนึ่งในการแก้ไขการใช้ยาปฎิชีวนะอย่างพร่ำเพรื่อก็คือให้ แพทย์ผู้ชำนาญการเขียนคำสัญญาไม่ใช้ยานี้โดยไม่จำเป็นมีการศึกษา พบว่า จะลดการออกใบสั่งยานี้ถึงหนึ่งในสามเมื่อเปรียบเทียบกับแพทย์ผู้ไม่ได้ให้คำสัญญานั้น
ที่สหรัฐอเมริกามีการทำการศึกษาให้แพทย์เขียนคำมั่นสัญญาขนาดแผ่นโปสเตอร์ ว่าจะปฎิบัติตามกฎกติกาการออกใบสั่ง เขียนติดไว้ในห้องตรวจ ในคำประกาศยังบอกว่ายาปฎิชีวนะไม่สามารถแก้หวัดได้แต่จะเพิ่มอาการข้างเคียงและการดื้อต่อยามากขึ้น การกระทำดังนั้นสามารถลดการออกใบสั่งยาปฎิชีวนะพร่ำเพื่อได้หนึ่งในห้าส่วนจากเดิม อย่างไรก็ตามการศึกษานี้ทำกันในกลุ่มแพทย์จำนวนน้อย ควรที่จะมีการวิจัยให้กระทำกันกับแพทย์จำนวนมาก และถ้าได้ผล ในทางทฤษฎ๊มันจะขจัดใบสั่งยาปฎิชีวนะแบบพร่ำเพรื่อ ๒.๖ล้านใบสั่งและประหยัดเงินค่ายาของชาติ(สหรัฐ)ได้ ๗๐.๔ล้านดอลลาร์
เรียบเรียงและที่มาของข้อมูลจาก
๑มติชน ฉบับวันที่ 5 พ.ค. 2557 (กรอบบ่าย)
๒ จาก Antibiotic Overkill;April 2014,Scientific Ameican
๓ สำนักข่าวไทย TNA News
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น